Categories
Shopee Seller Note

ได้รู้อะไรมากขึ้นบ้าง? แชร์ประสบการณ์ขึ้น SHOPEE LIVE ด้วยตัวเองต่อเนื่อง 30 วัน

ก่อนอื่นผมต้องเกริ่นว่า สำหรับใครที่คิดว่าคนที่เปิดคลาสสอน Shopee ทำ Content Shopee / Lazada / TikTok มีเพจคนตามเกือบแสนคน
แล้วคิดกันไปเองว่าผมต้องเก่งกว่าคุณทุกอย่างไปหมด คุณคิดผิด!!

เพราะจริงๆ สิ่งที่ผมนำมาแชร์เกิดจากประสบการณ์ที่ได้ลงมือทำ
และการลงมือทำ ไม่ได้แปลว่าทุกคนจะได้ผลลัพธ์ที่เท่ากันเสมอไป

เพราะที่แน่ๆ ถ้าสินค้าคุณแตกต่าง จุดเด่นคุณแตกต่าง และ พื้นฐานคุณแตกต่าง มันจะไม่มีทางได้ผลลัพธ์ที่เหมือนกันเลยครับ

ฉะนั้นบทความนี้เป็นการแชร์ประสบการณ์ของผม
ซึ่งมันถูกต้อง และ เป็นเรื่องจริงของผม
แต่มันอาจไม่ถูกต้อง และไม่จริงสำหรับคุณก็ได้

เอาเป็นว่าอ่านแล้วอย่ากดดัน
อ่านแล้วเลือกเก็บเกี่ยวสิ่งที่มีประโยชน์ไปใช้ก็พอครับ

ถ้าเข้าใจและพร้อมแล้ว เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ

อันนี้เป็นสถิติที่ผมกดย้อนดูไป 30 วัน ครับ
ผมกด LIVE ไป 30 ครั้ง
เวลารวมในการขึ้น LIVE 48 ชั่วโมง 33 นาที 51 วินาที
ยอดเข้าชม 23,400 ครั้ง
ผู้ชม 19,400 คน
ค่าเฉลี่ยในการดู 49 วินาที
ดูพร้อมกันสูงสุด 44 คน
ได้ผู้ติดตามใหม่จากการ LIVE 192 คน
ได้คำสั่งซื้อ 122 ออเดอร์
ตกเป็นรายได้ 244,500 บาท

ผมถามคนดู LIVE ตอนนั้น ร้อยกว่าคนเหมือนกันว่า ยอดเท่านี้เยอะหรือน้อย ได้คำตอบที่แตกต่างกันไป

โดยผมออกแบบเงื่อนไขในการ LIVE ว่า
– ขึ้น LIVE อย่างต่ำ 1 ชั่วโมง โดยใช้เวลาว่างหลังเลิกงานมาทำ
ไม่ยิง Live Ads
ไม่แจก Coin
– ไม่เข้าโปรแกรม Shopee LiveXtra (ไม่ยอมเสียค่าธรรมเนียมเพิ่ม)
– ไม่จ้าง KOL
– ไม่ตั้งค่าพาร์ทเนอร์ (ไม่ให้ Extra Comm คนหยิบสินค้าไปปักตะกร้าขาย)

ทั้งหมดนี้มีเหตุผลอยู่ครับ อยากรู้ว่าทำไม ไถอ่านต่อไปเรื่อยๆครับ

ตรงนี้ไม่มีใครกำหนดให้ ผมกำหนดให้ตัวเอง

สิ่งที่ผมเรียนรู้ และ พอแบ่งปันให้คุณได้บ้าง คือ

1. ใครบอก LIVE แล้วขายดี ให้ดูสาเหตุที่ลึกกว่านั้น
ถ้าใครบอกว่าขึ้น LIVE แล้วจะขายดีแบบขายดีมากกกก
เอาตัวเลขยอดขายมาอวดเยอะๆ
มันมีความจริงอยู่ครับ แต่ต้องวิเคราะห์ต่อให้ดี เพราะ

สินค้าหลายชนิด ต่อให้คุณไม่ขึ้น LIVE
แต่ถ้าสินค้าดี และ มีคนอยากได้อยู่แล้ว
ต่อให้คุณไม่ขึ้น LIVE คนก็ซื้ออยู่ดี

แต่การขึ้น LIVE และมีการตอบโต้กับลูกค้า
มันทำให้ตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น จ่ายเงินไวขึ้น อันนี้จริง

ถ้าให้ผมเล่าให้ฟังตรงๆ คือ สรุปว่าดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

2. ตัวสินค้าที่เอามาขายใน LIVE เองมีผลมาก
ถ้าราคาสูง และ ซื้อซ้ำยาก
การขึ้น LIVE โดยเอาโค้ดใน LIVE มาให้ลูกค้ารีบกดซื้อ แทบไม่มีประโยชน์

ยกตัวอย่างสินค้าที่ผมขาย
ไม่ได้เป็น Limited Edition (จำนวนจำกัด)
หาได้ทั่วไป
และมีค่าเฉลี่ยต่อคำสั่งซื้อ 2000 บาท ซึ่งถือว่าสูง

หากจะเอาโค้ดใน LIVE
ที่มีส่วนลดเพิ่ม 80-120 บาท มาให้ลูกค้า
ลูกค้าก็ไม่หวั่นไหวพอที่จะอยากซื้อ เพราะมันแทบไม่ลดเลย

3. การเข้าโปรแกรม LiveXtra (Live โค้ดโหด) ไม่ได้เหมาะกับทุกคน
ก่อนที่อยากจะได้โค้ดมาแจกเพราะลดเยอะๆ
คุณต้องศึกษาก่อนว่า

3.1 เข้าไปแล้วได้ส่วนลดเป็นยังไง?
3.2 เข้าไปแล้วต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มอีกเท่าไหร่?

3.1 เข้า LiveXtra แล้ว ได้ส่วนลดเพิ่มจากร้านปกติทั่วไปยังไง?

ต้องเล่าเป็นฉากๆ งี้ว่า
มันจะมีช่วงที่ Shopee อยากดันอะไรเป็นพิเศษ
หมวดหมู่นั้นอาจมีโค้ดลดเพิ่มมากกว่าปกติ

เช่น ช่วงนี้ Shopee ผลักสาย Fashion และ Beauty มาก
(ตลาดใหญ่ มีความต้องการสูง และต้องแข่งขันกับ Platform อื่นๆ)
โดยเฉพาะช่วงเวลา 20:00-22:00 ของทุกวัน

จะเห็นได้ว่า ถ้าเป็นร้าน LiveXtra + ส่วนลดร้านโค้ดคุ้ม
(ร้านค้าต้องจ่ายค่าโปรแกรมส่งเสริมการขายเพิ่มให้ Shopee)
ลูกค้าจะมีโค้ดพิเศษลดเพิ่ม 30% สูงสุด 300 บาท

แต่ถ้าเป็นร้าน LIVE ทั่วไป ที่ไม่ได้เข้า LiveXtra
มีโค้ดลดเหมือนกัน แต่ลด 30% สูงสุด 150 บาท

สายแฟชั่น และ บิวตี้ถูกผลักดันสูงมากในช่วงนี้

ช่วงวัน Campaign ใหญ่ๆ เช่น ต้นเดือน วันเลขเบิ้ล กลางเดือน ปลายเดือนส่วนลด 50% ลดสูงสุด 100 บาท (หมดไวมากแบบไม่กี่วินาที)
ส่วนลด 40% ลดสูงสุด 120 บาท
ส่วนลด 30% ลดสูงสุด 120 บาท

ส่วนวันปกติทุกวัน จะมี
ส่วนลด 50% ลดสูงสุด 100 บาท (หมดไวมากแบบไม่กี่วินาที)
ส่วนลด 40% ลดสูงสุด 100 บาท
ส่วนลด 30% ลดสูงสุด 100 บาท

โค้ดส่วนลดที่มีให้เฉพาะร้านที่เข้าโปรแกรม LiveXtra

ส่วนร้านที่ไม่เข้าร่วม (ไม่ยอมเสียเงินค่าโปรแกรมนี้เพิ่ม) จะมีโค้ดแบบนี้
ส่วนลด 30% ลดสูงสุด 80 บาท
ส่วนลด 20% ลดสูงสุด 80 บาท

จริงๆ สำหรับใครที่อยากศึกษาเพิ่ม จะบอกว่าส่วนลดพวกนี้
มันมีเงื่อนไขด้วยครับ ว่าโค้ดลดใช้กับสินค้าประเภทไหนได้ หรือไม่ได้
(ไม่ได้ใช้ได้กับทุกสินค้านะครับ)

ข้อกำหนดส่วนใหญ่จะมีว่า
โค้ดใช้ได้กับสินค้าที่ร่วมกิจกรรมใน Shopee Live เท่านั้น
ยกเว้น สินค้าตั๋วและบัตรกำนัล, นมผงสำหรับเด็กสูตร 1 และ 2, ทองคำแท่ง, ทองคำแผ่น, สร้อยคอทองคำ, แหวนทองคำ, ต่างหูทองคำ, สร้อยข้อมือทองคำ, เพชร, สร้อยคอเพชร, แหวนเพชร, ต่างหูเพชร, สร้อยข้อมือเพชร, และสินค้าควบคุมตามกฎหมาย อ่านเพิ่มที่นี่ เพราะอาจมีการเปลี่ยนแปลงทีหลัง

3.2 เข้า LiveXtra ต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มอีกเท่าไหร่?
ถ้าคุณไม่ได้เข้าโปรแกรมส่งฟรี หรือ โค้ดคุ้ม คุณจะเสียเพิ่มอีก 3.21%
ถ้าคุณเข้าอย่างใดอย่างหนึ่งคุณเสียเพิ่มอีก 2.14%
อ่านรายละเอียด และ กดสมัคร Shopee LiveXtra Program ได้ตรงนี้ครับ


4. เทคนิคการตัดสินใจว่าจะเข้าโปรแกรม LiveXtra ดีไหม คือ การสวมบทบาทมามองในมุมคนซื้อ
ถ้าขายของแพง ลดแค่ 80 บาท 100 บาท มันไม่เร้าใจมากพอที่คนจะซื้อ

ระหว่างการ LIVE ผมถามคนดูว่า
ถ้าผมขายสินค้าแบบ 1 หรือ 2
แบบไหนคุณหวั่นไหวอยากซื้อมากกว่า? คุณว่าแบบไหน?

ทุกคนตอบเหมือนกันหมดว่าแบบที่ 2


เพราะขายสินค้าที่มีราคาและส่วนลดแบบที่ 1 มันลดน้อยเกิน
จึงแทบไม่มีผลในการตัดสินใจที่ต้องรีบซื้อตอนนี้เลย

5. Live Ads และ แจก Coin อาจไม่ได้จำเป็น และไม่ได้เหมาะกับทุกสินค้า

คือ เราต้องรู้พฤติกรรมลูกค้าของเราก่อน ว่าเป็นกลุ่มไหน
ผมอธิบายให้ฟังว่า สินค้าของผมเป็นกล้อง
และค่าเฉลี่ยในการซื้อคือ 2000 บาท ต่อคำสั่งซื้อ

ผมถามคนดูว่า เป็นไปได้ไหม?
ที่ผมแจก 0.5 Coin ทั้งวันเลย!!
แล้วคนที่เข้ามารอเก็บ Coin รอ 5 นาที

อยากซื้อของราคา 2000+ ทันที!

คำตอบคือ ไม่ แน่ๆ ถ้าสินค้านั้นไม่เกี่ยวกับเค้าเลย

6. สินค้าที่เหมาะ คือ สินค้าที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย
ลองคิดเล่นๆว่าคนส่วนใหญ่ที่เข้ามารอเก็บเหรียญ
เป็นคนแบบไหน ลักษณะการใช้ชีวิตประมาณไหน?
ที่ยอมเอาเวลา 5 นาที มารอแลกกับเงิน 0.5 บาท (หรือน้อยกว่านั้น)

คำตอบคือ อาจจะเป็นพวกแม่บ้าน
หรือคนที่อยู่บ้าน นั่งว่างไม่มีอะไรทำ
แล้วเปิดดูทิ้งไว้เหมือนพวกรายการ TV Direct ก็ได้

ถ้าสินค้าที่คุณนำมาขาย ไม่ได้เกี่ยวข้อง ซื้อได้ง่าย ตัดสินใจได้ง่าย
การยิงโฆษณา หรือ ขาย คุณอาจได้ไม่คุ้มเสียแน่ๆ

ยกตัวอย่างสินค้าที่พอเป็นไปได้ คือ กลุ่มแม่บ้าน ซื้อง่าย มีโอกาสซื้อซ้ำ เช่น น้ำมันพืช ครีมอาบน้ำ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบ้าน ซึ่งเป็นสินค้าที่มีใช้กันในทุกครัวเรือน มีราคาไม่สูง และยังมีโอกาสที่จะขายได้มากกว่ากล้องที่ผมขายแน่ๆ

7. นี่คือเหตุผลง่ายๆที่ตอบคำถามหลายคนได้ว่า
ทำไมยิงโฆษณาแล้วขายไม่ได้ มีคนดู ไม่มีคนซื้อ ไม่คุ้ม


และทำไมผมไม่เลือกที่จะยิงโฆษณาเพิ่มเลย
เพราะ ต่อให้ยิง มียอดการมองเห็นมากขึ้น
แต่สินค้าผมเฉพาะกลุ่มเกินไป ไม่คุ้มค่าที่จะทำให้คนเห็นลักษณะนี้

และหากคุณยังนึกภาพไม่ออก ผมแนะนำ
ให้คุณค่อยๆอ่านตั้งแต่ข้อ 1-6 อีกรอบนึง
เผื่อได้ไอเดียเพิ่มเติม

ข้อดีอย่างสุดท้ายที่ผมได้โดยไม่รู้ตัวเลยคือ การมีวินัยกับตัวเองครับ
(ผมว่าดีกว่าผมได้เงินแสน)

คือหลายคนเวลาขายไม่ได้ ขายไม่ดี
มักจะติดนิสัยทำแบบเดิม (ติดนิสัยทำ Autopilot)

แต่อยากได้ผลลัพธ์ที่ต่างออกไป
ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลย
!!

ช่วงที่ผมเริ่ม LIVE เป็นช่วงที่ผมรู้สึกว่ายอดขายไม่ดี
จะทำ Content ก็ทำอยู่แล้ว
ยิง Ads ก็ยิงอยู่แล้ว
ผมรู้สึกว่า ผมอยากท้าทายทำอะไรซักอย่างเพิ่ม
อยากรู้ว่าเราทำแล้วจะได้อะไร จากการเรียนรู้ในการลงมือทำ
อยากรู้ว่าเราทำแล้ว จะได้แรงเหวี่ยงให้เราไปเจออะไรอีกไหม

ผลสุดท้าย นอกจากได้ยอดขาย ได้รู้ปัญหาลูกค้าเพิ่ม
ได้รู้วิธีแก้ปัญหา เตรียมรับมือตอบคำถามเฉพาะหน้าเพิ่ม
เราก็ได้ประสบการณ์ที่สัมผัส

การคุยคนเดียว 5555
การไม่คาดหวัง (หลายครั้ง LIVE แล้วได้ 0 บาท)
การสู้ไม่ถอย (จะไม่ลง LIVE จนกว่าจะขายได้)
การยอมรับว่าอยากได้นิสัยใหม่ ต้องทำสิ่งใหม่ให้เป็นนิสัย
การยอมรับว่า ทำแบบเดิมได้แบบเดิม

ผมยกตัวอย่างใน LIVE ว่า ผมไม่ได้ลำบากอะไรมากขึ้นหรอก
ผมแค่แบ่งเวลาจากการอ่านการ์ตูน / ไถ Feed Social เสือกเรื่องชาวบ้าน มาเสือกเรื่องที่ตัวเองควรทำเท่านั้นเอง

ผมว่าการพักผ่อนก็ดี แต่ถ้าพักแล้วตื่นมาผลลัพธ์เป็นแบบเดิม ก็ลองเปลี่ยนวิธีดีกว่า

หวังว่าประสบการณ์ที่ผมนำมาแชร์ จะมีประโยชน์นะครับ

ใครอ่านจบแล้ว อยากแชร์ความคิดเห็นกัน
ฝาก Comment ไว้ด้านล่างได้เลยฮะ
(เป็นกำลังใจที่ดีมากสำหรับการเขียน หรือ การแชร์ครั้งถัดไป)

ไม่ Comment ไม่ Post ต่อ!!

ผมบอกเลยจากการผ่านประสบการณ์ LIVE 0 คนดู ยอดขาย 0 มานาน การคุยกับตัวเองในกระจก หรือกระดาษโดยไม่ต้องใช้เวลามาเขียนเพื่อแบ่งปันใคร มันโคตรง่ายไปเลย 555

ฉะนั้นอ่านจบ Comment ซะนะจ้ะ
ก่อนอ่านรู้สึกยังไง?
อ่านจบรู้สึกยังไง?
อยากบอกอะไรผมบ้าง?

ไม่ครบ 10 comment ไม่มี Post ถัดไป 555
(ผมยังคับให้คุณ Comment เพราะอยากให้คุณทำเพื่อ Reflect ความคิดตัวเอง จะได้ไม่อ่านแล้วผ่านไป)

สำหรับใครที่อยากดู LIVE ย้อนหลัง (ไม่ตัดต่อ)
เพื่อให้เข้าถึงอารมณ์ได้มากกว่าการอ่าน
ผมมีเปิด Subscription ผู้สนับสนุน เดือนละ 319 บาท
คิดว่าจะมาแบ่งปันเรื่อยๆ หน้าเพจ

ซึ่งคุณไม่ต้องสมัครก็ได้ แต่พอ LIVE จบปุ๊บ
จะมีเฉพาะสมาชิกที่ดูย้อนหลังได้ครับ

พอมีรายได้จะได้มีข้ออ้างให้ตัวเองมาไลฟ์บ่อยๆ แทนที่จะไปไลฟ์ขายของครับ 555

ซึ่งคนไหนที่เป็นสมาชิก
สามารถ Request เนื้อหาที่อยากให้แชร์ครั้งถัดไปได้
และจะเลิกสมาชิกรายเดือนเมื่อไหร่ก็ได้ครับ

ใครสนใจกดสมัครตรงนี้หน้าเพจ Jade : เลือดสาดมาร์เก็ตติ้ง ได้เลย

สำหรับใครไม่อยากพลาดเนื้อหา หรือ LIVE ถัดไป
อย่าลืมกดติดตาม Jade : เลือดสาดมาร์เก็ตติ้ง
เพจจริงต้องมีเครื่องหมายติ๊กถูกสีฟ้า

Categories
Shopee Seller Note

ถ้าจะจ้างเขา LIVE หรือปักตะกร้าใน Shopee ทำแบบนี้ไปยังไงก็ไม่คุ้ม

[1]
เข้าใจก่อนว่าถ้าอยากมีพาร์ทเนอร์
หรือคนเอาสินค้าเราไปปักตะกร้า SHOPEE LIVE
เพื่อขายของให้เรา

เราต้องจ่ายเพิ่มอีกอย่างน้อย 7% ของค่าสินค้า
(ทุกชิ้นที่ขายได้ผ่าน Shopee Live)

ถ้าไม่จ่ายเงินเพิ่ม
คนก็ไม่เอาไปปักกัน

ยกเว้นสินค้าดังมากๆ
เค้าอาจปักเพื่อเรียกแขก
ให้เข้ามาดูสินค้า LIVE อื่นๆที่เค้าขาย

[2]
เช่น ตั้งขาย 100 บาท
คุณต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้ Shopee
ค่าธรรมเนียมการขาย + จ่ายเงิน
ราวๆ 12% เป็นพื้นฐาน (แบบต่ำสุดแล้วนะ)

และคุณต้องจ่ายเพิ่มอีก 7% (ขั้นต่ำ)
เพื่อให้ค่าจ้างคนพวกนี้ต่อชิ้นถ้าขายได้
แปลว่าคุณต้องจ่าย 19%
เป็นอย่างน้อย (ตีซะ 20% ไปเลยละกัน)

นี่ยังไม่รวมค่าแพ้คของ ค่าโฆษณาอีกนะ
กำไรยังเหลือไหมก่อน

[3]
หลายคนพลาด
เวลาเลือกสินค้าราคาต่ำที่คนอื่นขายดีมาขาย
เพราะดันมองข้ามไปจุดนึงคือ

ไอ้ของ Commodity ที่ดูขายง่ายๆ
มันไม่ได้แค่ จ้างคน LIVE แล้ว ขายได้
แต่ร้านต้องเข้าโปรแกรม LIVE โค้ดโหด
เพื่อให้ใช้โค้ดลด 50% ได้เพิ่มตอนต้นชั่วโมงด้วย


นั่นคือคุณต้องเผื่อค่าโปรแกรมอีก 3%
ตะกี้โดน 19% + 3%
แปลว่าตอนนี้คุณจะโดนไปเหนาะๆ 22%
เป็นอย่างน้อย

ยิ่งสินค้าขายดี
ค่าคอมก็ไม่ได้ตั้งพื้นฐานที่ 7%

ต้องไปแข่งขึ้นค่าคอม
ให้คนอยากเอาของไปปักอีก

ถ้าคุณไม่ตัดราคาสินค้า
คุณก็ต้องไปเพิ่มค่าคอมให้อยู่ดี
จะเสียเงินทางไหนดี 555

[4]
ถ้าคุณกำไรจำกัด และไ่ม่ได้ขายทีแต่ได้กำไรมากๆ
การเอาสินค้าราคาแพง
ที่ใช้ส่วนลดใน LIVE ได้น้อย
มาฝากขายใน LIVE = โคตรไม่คุ้ม

เช่นของราคา 1500
ส่วนลดใน LIVE แค่ 100 บาท
มันจะไม่เร้าใจ

ถ้าเทียบกับสินค้าที่แม่บ้านซื้อ
เช่น น้ำมันพืช 300 ลด 120 บาท
มันเร้าใจกว่า

ลองคิดเล่นๆ ของ 1500 ลดสูงสุด 100
คำนวณแล้วลดแค่ 6.7%
(แต่คุณต้องจ่ายค่าจ้างขั้นต่ำ 7%)

เอาไปจ่ายเงินเข้าร้านโค้ดคุ้ม ลด 10-20%
เสียค่าโปรแกรมแค่ 4% เอง

[5]
อย่าโลกสวย!!
เพราะคนเอาไปขายส่วนใหญ่งานชุ่ย


คือ เอาสินค้าคุณไปปักตะกร้าให้ก็จริง
แต่ก็จะจ้างเด็ก หรือ
จ้างคนมานั่งเฝ้าหลังกล้องอีกที
(เพื่อไม่ให้ผิดกฎ เปิดวิดีโอวน มีแต่แท่นหมุน)

ซึ่งคนพวกนี้ไม่คุยอะไรทั้งนั้น
แค่นั่งเล่นมือถือ (โง่ๆ)
ดูทีวีเฉยๆ

หรือยังมีบ้างที่อัดวิดีโอแบบเนียนๆ
เปิดวน 12-24 ชั่วโมง
แค่สลับของบนแท่น
หรือสลับคนมานั่งเฉยๆต่อ

พูดง่ายๆไร้คุณภาพมากๆ

ถามว่ารู้ได้ไง?
เพราะมันมีระบบหลังบ้านดูได้ว่า
พาร์ทเนอร์คนที่ขายได้
เค้าขึ้น LIVE ประมาณไหน

จากตัวอย่างผมลองกดหลายๆคน
พบว่ามีสไตล์เดียวกัน คือ
ไม่นั่งโง่ๆ (แต่ได้เงิน)
ก็เปิดแท่นหมุน วิดีโอวนแบบเนียนหน่อย

คนบ้าอะไรวะ
ไม่เปลี่ยนเสื้อนั่งนิ่งๆหน้ากล้องได้ 25 ชั่วโมง

เข้าไปดูได้ในเมนูนี้ในหน้า Shopee Seller Centre ครับ

[6]
ถ้าสินค้าไม่ดัง
แล้วดันต้องอธิบายยากๆ
มักจะไม่มีนายหน้าคนไหน
อยากจะอธิบายให้ขนาดนั้น
ส่วนใหญ่เค้าจะไปปักตะกร้าที่
ร้านมีสต๊อกพร้อมส่ง เพราะได้เงินไว

หรือขายง่ายด้วย เช่น ของใช้ในบ้าน ของใช้ในครัว
หรือ ของที่คนซื้อเยอะ มีรีวิวเยอะ

[7]
การจ้างคน LIVE แบบง่ายๆนี้
ไม่ได้เป็นการเพิ่มคุณค่าให้แบรนด์คุณเลย

เพราะคนซื้อ ซื้อเพราะราคามันถูกต่างหาก

(ไม่งั้นจ้างคนมานั่งเฉยๆ เค้าจะขายได้ค่าคอมจากคุณได้ไง)

ถ้าอยากให้ขายได้ด้วย
และเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้าร้านคุณได้ด้วย
ไปเทรนพนักงานส่วนตัวมาขายเองดีกว่า


ส่วนตัวผมเปิดดูรายงานยิ่งช้ำใจ
กำไรก็มีจำกัด
แต่ต้องเสียค่าคอมให้กับใครก็ไม่รู้มานั่งว่างๆ

และสินค้าที่เค้าเอามาขาย
ก็ไม่เคยซื้อมาใช้เองด้วยซ้ำ

สินค้าผมที่จ่ายค่าคอมให้คนพวกนี้ไปทุกวัน
ไม่โดนขึ้นบนแท่นหมุน หรือ หยิบโชว์ได้เลย
เพราะคนพวกนี้ไม่ได้ลงทุนซื้อมาใช้แม้แต่ชิ้นเดียว 555

[8]
การที่สินค้จะขายได้ มันต้องอยู่ถูกที่ ถูกเวลา
คุณต้องเข้าใจว่า Shopee คือปลายทางที่คนสั่งซื้อ
(หลายโค้ชเรียกว่าแพลทฟอร์มเชิงรับ)

ฉะนั้นถ้าคุณอยากให้สินค้าขายดี
ต้องทำการตลาดนอก Platform ให้คนรู้จัก
และต้องทำให้ใน Platform เกิดยอดขาย
และเกิดยอดรีวิวในตัวสินค้ามากๆ

เพราะนอกจากจะทำให้คนซื้อตัดสินใจง่าย
ยังทำให้อินฟลูอยากปักตะกร้าด้วย (เพราะได้เงินง่าย)

[9]
แต่ถ้าอยากจะหาอินฟลูดีๆ
แต่ดันพลาดไปเปิดให้ค่าคอม 7% แล้วเหมือนผม 555

ลองใช้ระบบพาร์ทเนอร์หลังบ้าน
เข้าเมนู วิเคราะห์ข้อมูลพาร์ทเนอร์
(ที่พูดไปด้านบน)

แล้วลองเลือกทักไปหาคนที่เราหมายปอง
แล้วก็ตั้งให้ค่าคอมส่วนตัวไปเลยดีกว่า

(อันนี้เรียกว่าตั้งแคมเปญแบบเลือก KOL แล้วให้ค่าคอมส่วนตัวไปเลย)

เพราะถ้าคุณเปิดให้ทุกคนเข้าถึงได้
คุณก็จะได้ คนที่นั่งเฉยๆหน้ามือถือ
เปิดถาดหมุน ใส่ชุดนอน
แล้วคุณก็เสียค่าคอม
แบบไม่เกิด Value อะไรเลย

เอาไปทำอย่างอื่นดีกว่า
ให้ตายเถอะ
จบ

อ่านแล้วได้อะไร Comment Share ประสบการณ์ไว้ได้นะครับ :)หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับมือใหม่ครับ

สำหรับโพสนี้ สามารถตามไปอ่าน Comment เพื่อนๆทั้งหมดได้ที่นี่เลยครับ
https://www.facebook.com/share/p/yZqBkq9g2wgU9721/

อย่าลืมกดติดตาม Jade : เลือดสาดมาร์เก็ตติ้ง เพื่อไม่พลาดโพสถัดไปฮะ
เพจจริงต้องมีเครื่องหมายติ๊กถูกสีฟ้า

มีคำถามอะไรเพิ่ม ถ้าตอบได้จะตอบให้
Comment ไว้ได้เลยจ้ะ

Categories
Shopee Seller Note

หยุด LIVE ขายเถอะ! เพราะแค่ปีนี้ก็มีรายได้เกือบสิบล้านแล้ว

เพราะพอเป็นเรื่องคนอื่น
เรามักเสือกเก่งมากกว่าเรื่องตัวเอง

วันนี้ผมมีเรื่องเล่าจากคนใกล้ตัว
มาเล่าให้ฟังเป็นประสบการณ์ครับ

เผื่อใครเป็นพ่อค้าแม่ค้าที่ขายดีมากๆ
จะได้เพิ่มความระวังไว้เป็นอุทาหรณ์

[1]

มีนักเรียนที่เคยเรียนด้วยกันมานานมากแล้ว
ทักมาปรึกษาว่า

อ. ทำไงดีคะ มีรายได้เกิน 1.8 ล้าน โดยไม่รู้ตัว!!
และ พอไปปรึกษาบัญชีเค้าบอกว่า
จะต้องเสียค่าปรับเยอะมาก!


(เนื่องจากเป็นการเรียนออนไลน์)
(ที่ไม่ได้เป็นการเรียนแบบปรึกษาส่วนตัวแบบระบุเวลา Follow up)
(ผมจึงจะไม่ได้ติดตามผลงานอะไรหลังจากนั้น)

[2]

ผมตกใจเลยยกโทรศัพท์โทรหาเลย!

เค้าเปิดร้านไลฟ์ขายของใน Shopee
หมวดที่คนชอบขายกันเยอะๆ

จุดขายที่คนซื้อเพราะคนสามารถซื้อโดยใช้ Code
แล้วถูกกว่าราคาตลาดมากนั่นแหละ

เมื่อมันเป็นสินค้าซื้อง่าย ขายคล่อง
ขายใน Platform ที่คนเชื่อใจ
คนซื้อมักซื้อได้ในราคาต่ำกว่าทุน

เค้าเล่าให้ผมฟังว่า
บางวันนึงไลฟ์ไม่ถึงชั่วโมง
ก็ได้ออเดอร์หลักหลายร้อยบ้านเลย


ตรงนี้น่าอิจฉามาก…
สินค้าผมที่ขาย
ขนาด LIVE ช่วงแคมเปญขายดีสุด
LIVE เองหลายชั่วโมง
ยังไม่ถึงร้อยชิ้นเลย T_T

[3]

สินค้าที่ขายดีใน LIVE ส่วนใหญ่จะเป็นประเภท FMCG
หรือ ที่ย่อมากจาก Fast-moving consumer goods
คือ สินค้าที่จำหน่ายเร็ว ราคาไม่สูง ซื้อซ้ำได้บ่อย
จึงเป็นที่ถูกใจและนิยมในกลุ่มผู้ซื้อส่วนใหญ่เป็นอย่างมาก

แต่ต้องแลกมาด้วยการใช้เงินต่อเงิน
และสภาพคล่องในการเงินสูง
เพราะเวลาขายได้ ก็ไม่ได้เงินทันที
คือ ต้องมีช่วงรอเงินจากการขายเข้า

ช่วงรอส่งสินค้า
ช่วงรอลูกค้าได้ของ
ช่วงรอลูกค้ากดยืนยันรับสินค้า

แปลว่าถ้าลูกค้าไม่กดยืนยันรับของ
คนขายเงินก็จะถูกดองในระบบและเงินจะไม่กลับมาให้ใช้หลายวัน

(เกินสัปดาห์ก็มีให้เห็นบ่อยๆ)

และเนื่องจากสินค้าพวกนี้มีความต้องการสูง
การแข่งขันจึงสูงมาก

แปลว่านอกจากเรื่องราคา
เรื่องสต๊อกพร้อมส่งก็สำคัญไม่แพ้กัน

ใครมี Stock พร้อมส่ง
และส่งได้ไวก็เป็นอีกจุดนึงที่ต้องเฉือดเฉือนกัน

[4]

เนื่องจากความท้าทายที่เล่ามา
ของผู้ขายในสาย FMCG
นอกจากต้องตั้งราคาให้ไม่สูงกว่าคนอื่นมาก
(เพราะถ้าตั้งสูงก็กลัวขายไม่ได้)

ยังต้องมีพร้อมส่ง และส่งได้ไวด้วย
อีกทั้งยังต้องกังวลเรื่องเงินหมุน
ที่เข้ามาเท่าไหร่ ก็ออกไปเกือบหมด

ทำให้คนขายประเภทนี้
แทบไม่เคยดูรายได้กัน
และกว่าจะสังเกตอีกทีก็มักพบว่า
มีรายรับเยอะมากแล้ว

[5]

เคสนี้แย่หน่อยตรงที่ รู้ตัวช้า

เพราะ กว่าจะได้กดดูรายรับของฉัน
ยอดเข้าเกือบ 10 ล้านไปแล้ว
ซึ่งเกิน 1.8 ล้าน ไปหลายเดือนแล้วด้วย


เพิ่งรู้ว่าขายได้ยอดขายเยอะขนาดนี้
เพิ่งรู้ว่าเกิน 1.8 ล้านต้องเข้าระบบ VAT
เพิ่งรู้ว่าถ้าเข้าต้องเข้าภายในเดือนที่เกิน
เพิ่งรู้ว่าถ้าเข้าช้ากว่าเดือนนั้นๆ นอกจากจะต้องโดนปรับค่าภาษีขาย
ยังต้องโดนปรับค่าอื่นๆ อีกด้วย

[6] อ. มีวิธีไหนช่วย หรือมีบัญชีไหนช่วยได้ไหม?
คำตอบคือไม่มี

มันเป็นหน้าที่ที่เราต้องพึงระวังอยู่แล้ว
ไม่ใช่สักแต่ขาย ไม่ดูตัวเลข

แต่ส่วนตัวผมเข้าใจมากนะครับ
คนไม่เคยจด หจก. บจก. มาก่อน คิดว่ารายได้ไม่น่าถึง
เพราะเงินหมุนในบัญชีธนาคาร เข้ามาก็ออกไปเกือบหมด

วันๆ LIVE – แพ้ค – ขาย
วนลูปไปทุกวัน
ใครจะคิดว่าจะถึงหลายล้านบาทได้

[7]
ผมลองถามดูว่า
เก็บค่าใช้จ่ายทั้งหมดเป็นหลักฐานไว้ครบไหม
เช่น ใบเสร็จค่าสินค้า / ค่าขนส่ง / ค่าธรรมเนียม / ค่าใช้จ่ายต่างๆ

ได้รับคำตอบแบบหลายคน
ที่ไม่ได้เตรียมความพร้อมมาก่อนเลยว่า
ไม่มี หรือ ต่อให้มี ก็มีเก็บไว้ไม่ครบ


[8]

ที่งานเข้าคือตรงนี้
สมมุติรายได้ 10 ล้าน
ถ้าไม่มีค่าใช้จ่ายตามจริงตามที่ผมถามเมื่อกี้มาชี้แจงสรรพากร
ไม่ว่าจะเป็นใบเสร็จค่าสินค้า ค่าส่ง ค่าธรรมเนียม ไว้ครบๆ

เวลายื่นรายได้เสียภาษี
แบบที่จะทำให้เราเสียภาษีน้อยที่สุด
คือ หักค่าใช้จ่ายตามจริงที่เกิดขึ้น
คือเอาค่าใช้จ่ายที่มีหลักฐานทั้งหมดมาหักได้เลย


แต่ถ้าไม่มี หรือมีไม่ครบ
ส่วนใหญ่จะใช้เกณฑ์เหมาจ่าย
ตามเงื่อนไข เค้าให้หักรายได้แบบเหมาจ่าย
เป็นต้นทุนได้ 60%

ถ้าสรุปง่ายๆว่ายอดขาย 10 ล้าน
เค้าจะถือว่าเป็นต้นทุนทั้งหมด 6 ล้าน
คุณเหลือกำไร 4 ล้าน

และจะเอา 4 ล้านมาคิดภาษี ตามขั้นบันได
(ไม่รวมค่าปรับเงินเกิน ค่าภาษีขายที่ต้องถูกเก็บย้อนจากคนขาย)

ตรงนี้ด้วยความสงสัยมานาน
ผมเลยถามเบาๆ ว่า
“มันเป็นไปได้เหรอที่สินค้าพวกนี้”
“จะมีต้นทุน 60% หลังรวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ?”


“โห อาจารย์ แค่ค่าสินค้าก็เกือบ 80% ของรายได้แล้ว”
“ยังไม่รวมค่าธรรมเนียมอื่นๆอีกนะ”


ฉิบหายแล้วไง…

[9]
คำถาม ที่ผมอยากชวนทุกคนมาคิดก่อนอ่านต่อ
(เพราะเราเสือกเรื่องชาวบ้านมา 8 ข้อแล้ว ถ้าคุณไม่รู้ตัว)

คือ

แล้วเรากำไรซักกี่ % ของสินค้าพวกนี้
แล้วเรามีค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่มีที่มาที่ไปชี้แจงรายได้แบบหักตามจริงไหม?
ถ้าไม่มี เราคิดว่าทุกวันนี้เราตั้งราคาขาย พอเสียภาษีรึเปล่า?

[10]

เชื่อว่ามือใหม่หลายคน อาจคิดว่าขายยังไงให้ได้ก่อน
แต่พอขายแล้วก็เพลิน ไม่ได้ดูรายรับ

และ ช่วงเริ่มต้นก็ไม่คิดว่าจะขายดี
เลยไม่ได้เก็บหลักฐานค่าใช้จ่ายไว้

แต่ Shopee / Lazada / TikTok
ส่งรายได้ที่เราจ่ายให้ Platform ทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็นค่าธรรมเนียมการขาย
ค่าธรรมเนียมการชำระเงิน
ค่าธรรมเนียมอื่นๆ

ทำให้ต่อให้อยากหลบเลี่ยงรายได้ก็หลบไม่ได้
(และปีนี้เริ่มตรวจเข้มพิเศษด้วย)

[11]

เคสนี้จบที่ผมบอกว่า
ถ้าเป็นผมจะเลิกไลฟ์ เลิกขายเลย
(ทั้งๆที่วันที่คุยกันเป็นวัน 9.9 ขายดี)

เพราะดูจากค่าปรับที่ต้องเสีย
ผมว่าดีไม่ดี ที่ผ่านมาทั้งหมด

กำไรยังไม่พอค่าปรับเลย…

ฉะนั้นวันนี้ต่อให้ LIVE ต่อ
คุณก็เสียเวลาฟรี
เหนื่อยแรงแพ้คฟรี

ไปคุยกับสรรพากรให้เสร็จก่อน
แล้วขอคำปรึกษาตรงๆดีกว่า เพราะ … ยังไงก็ไม่รอด
บัญชีที่ไหนก็ช่วยไม่ได้ หลักฐานมันชัด

ส่วนตัว ผมว่า…
อย่าหาทางเล่นท่าพลิกแพลง
เพราะทุกท่าที่เราพยายามจะบิด ปิดบัง


สรรพากรเค้ารับมือคนอย่างพวกคุณมาทุกวัน
เค้าจะไม่รู้เหรอ ว่าใครกำลังโกหก
หรือใครพูดเรื่องจริง

และ เค้ายังพอช่วยอะไรได้บ้าง
กับคนที่มีเจตนาแบบไหนแต่แรก

[12]

สรุปว่าขายของอย่าขายเพลิน
ต้องคำนวณต้นทุน กำไรด้วย
ไม่งั้นจะกลายเป็น มดงานที่ทำให้แพลทฟอร์มได้กำไร
แต่คุณทำงานหนัก และโดนปรับจนขาดทุน

จนอาจต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า
แล้วที่ผ่านมา จะเหนื่อยไปมาทำไม

อ่านแล้วได้อะไร Comment Share ประสบการณ์ไว้ได้นะครับ 🙂
หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับมือใหม่ครับ

สำหรับโพสนี้ สามารถตามไปอ่าน Comment เพื่อนๆทั้งหมดได้ที่นี่เลยครับ
https://www.facebook.com/share/p/TfNU8ktzz1bXaZwX/

อย่าลืมกดติดตาม Jade : เลือดสาดมาร์เก็ตติ้ง เพื่อไม่พลาดโพสถัดไปฮะ
เพจจริงต้องมีเครื่องหมายติ๊กถูกสีฟ้า

มีคำถามอะไรเพิ่ม ถ้าตอบได้จะตอบให้
Comment ไว้ได้เลยจ้ะ

Categories
Shopee Seller Note

กำไรก็ไม่ค่อยมี ยังเสือกขายแล้วขาดทุน!! และนี่คือสาเหตุที่มือใหม่ขายใน Shopee แล้วเจ๊งโดยไม่รู้ตัว

นี่คือวิธีขายใน Shopee แบบพลีชีพ ทำการกุศล ไม่เอากำไร ทำเพื่อ Platform ที่คุณคงไม่อยากทำกุศลแบบนี้กันหรอกมั้ง 555

หลายๆคนที่เป็นมือใหม่หัดขายสินค้าบน Shopee มักจะมีปัญหาที่ว่า ไม่นึกว่า Platform จะคิดค่าธรรมเนียมในการขายแพงขนาดนี้

แต่ใช่ครับมันแพงขนาดที่ว่าคิดคุณได้สูงสุดเกิน 20% เลยครับ และแต่ละคนอาจโดนคิดไม่เท่ากันด้วย!!

ใครเป็นมือใหม่แนะนำอ่านให้จบ และพยายามใช้โควต้าในการอ่านหน่อย ก่อนจะขาดทุน (อ่านยาวๆไม่ไหวก็เซฟหรือแชร์เก็บไว้)

คุณกำลังทำเพื่อตัวเองจะได้ไม่ต้องขาดทุน ไม่ใช่เพื่อผม!!

ผมเชื่อว่าเคสนี้คงเป็นเคสที่ดี และ ไหนๆจะอธิบายแล้วจึงขออนุญาตยกมาทำบทความเลยแล้วกัน หลายๆคนจะได้ประโยชน์

ขายของบน Shopee ตอนนี้ คิดเงินคนขายยังไง?
(อัพเดทล่าสุดปี 2024)

เวลาเราลงราคาสินค้าเพื่อจำหน่าย ในที่นี้ ราคาที่เราตั้งขายตามตัวอย่างเช่น 2000 บาท เราจะโดนหักค่าอะไรบ้าง

1. ค่าโค้ดส่วนลดของคนขายที่ตั้งเอง คือ พวกโค้ดส่วนลดที่เราตั้งไว้ให้ลูกค้าใช้ เช่น ซื้อครบ 500 บาท คนขายลดให้ 10 บาท อันนี้เราตั้งโปรโมชั่นเองต้องออกเองอยู่แล้ว

2. ค่าธรรมเนียมและค่าบริการ ตรงนี้ แต่ละร้านจะโดนคิดไม่เท่ากัน และส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วย 3 ค่า หลักๆ

2.1 ค่าธรรมเนียมในการขายของ Shopee ถ้าเป็นร้านค้าทั่วไป (ไม่ใช่ Shopee Mall) ตอนนี้จะโดนคิดเรทอยู่ที่ 7.49% สำหรับสินค้าทั่วไป และ 8.56% สำหรับสินค้าแฟชั่น
(ถ้าเปิดร้าน Mall แพงกว่านี้อีกครับ…)

คำว่าค่าธรรมเนียมในการขาย เปรียบง่ายๆ เหมือนค่าเช่าสถานที่ห้างร้านนั่นเอง คือ คุณขายใน Shopee และใช้ Platform และ ระบบของเขา คุณก็จะจ่ายต่อเมื่อขายสินค้าได้

ซึ่งไม่ต้องกังวลครับ เพราะ คนขายทุกคนเสียหมด
(และแพลทฟอร์มขยับขึ้นปีละ 2 ครั้งเป็นอย่างน้อย)

2.2 ค่าธรรมเนียมในการชำระเงิน สำหรับการรับชำระเงินจากคนซื้อ ไม่ว่าจะชำระผ่านวิธีใดก็ตาม (เก็บปลายทาง / QR / บัตรเครดิต) จะอยู่ที่ 3.21%

2.3 ที่โดนกันหนักสุดๆ คือ ค่าโปรแกรมส่งเสริมการขายของ Shopee ที่โดนเก็บได้สูงสุดเป็น 10.7% (ถ้าเข้าร่วมทุกโปรแกรมส่งเสริมการขาย)

โปรแกรมส่งเสริมการขายมีอะไรบ้าง แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าร้านเข้าร่วมรึเปล่า? วิธีง่ายๆ ที่สุด คือ ดู Tag ป้ายสีเขียว / เหลือง ใต้สินค้าครับ

เห็นป้ายสีเขียวที่เขียนว่า ส่งฟรี* ร้านโค้ดคุ้ม กับ ป้ายสีเหลือง ส่วนลดร้านโค้ดคุ้มไหมครับ

ป้ายพวกนี้แหละครับที่ทำให้เราจ่ายแพง!! (แต่ลูกค้าร้านเราจะใช้โค้ดส่งฟรี / ส่วนลดต่างๆของ Platform ได้ ทำให้เวลาซื้อรู้สึกราคาถูก ซื้อง่ายขึ้น)

ถามว่าเข้าร่วมแล้วจ่ายเท่าไหร่ อัพเดทล่าสุดคือตามตารางนี้ครับ
(ค่าบริการของ Shopee มักจะยังไม่รวม VAT 7% ฉะนั้นเวลาเราดูค่าบริการต้อง x 7% เข้าไปด้วยนะครับ)

ในกรณีนี้ร้านของน้องที่ทักมาสอบถาม เข้าทั้งสองป้าย คือ ป้ายเขียว และ เหลือง ก็โดนไปเต็มๆ ที่ 7.49% สูงสุด 300 บาท ต่อชิ้น

ลองสรุปเล่นๆ ว่าตอนนี้น้องคนนี้ เสียค่าใช้จ่ายพื้นฐานไปแล้วตามนี้

ค่าธรรมเนียมการขาย (สินค้าประเภททั่วไป) 7.49%
ค่าธรรมเนียมการชำระ 3.21%
ค่าธรรมเนียมป้ายเขียวและเหลือง 7.49%
รวมทั้งสิ้นตอนนี้ถ้าขายได้อย่างน้อยก็ต้องเสีย 18.19% แล้วครับ!!

แต่พอดีเฉพาะช่วงนี้ Shopee บอกว่า ถ้าเข้าร่วมโปรแกรมป้ายเขียว หรือ ป้ายเหลือง เค้าจะมีส่วนลดค่าธรรมเนียมการขายให้อีก 2.14%
(ซึ่งไม่รู้จะยกเลิกเมื่อไหร่…)

แล้วยังไม่พอ หากเราไม่รู้อะไร กดเข้าร่วมทุกโปรแกรมส่งเสริมการขายไปเรื่อย Shopee ก็จะมีโปรแกรมแจกโค้ดลดเพิ่มใน LIVE สำหรับร้านพิเศษที่เข้าร่วมโปรแกรมที่ชื่อว่า LiveXtra

ซึ่งร้านไหนที่เข้าร่วม ลูกค้าจะใช้โค้ดที่ลดเพิ่มเป็นพิเศษที่ออกโดย Shopee ได้ แต่แลกกับการที่คุณจะต้องโดน Platform เรียกเก็บอีกเป็นอัตรา 2.14-3.21% ตามรายละเอียดที่ Platform กำหนด

สมมุติว่าน้องเค้าเข้าร่วมทุกอย่างเลย
แปลว่าน้องเค้าจะเสียจาก 18.19 – 2.14% + 2.14% = 18.19% จากยอดขาย ที่หักส่วนลดของร้านค้าที่ออกให้ผู้ซื้อ และ ที่พีคไปกว่านั้นและเงินน้องหายไปเยอะเพราะ…

ดันไปตั้งออกค่าส่งให้คนซื้อโดยไม่รู้ตัวไปอีกกกกก

ทำให้ค่าส่งเท่าไหร่ร้านค้าเป็นคนออกหมดเลย เพราะ ระบบเอาค่าส่งมาหักจากร้านตัวเองอีกด้วย เป็นเงิน 195 บาท…

สรุปที่ร้านน้องโดนก็คือ
ค่าสินค้า (ที่ตั้งใจตั้งขาย) = 2000 บาท
หักค่าส่งที่คนขายออกให้ (โดยไม่ตั้งใจ) = -195 บาท
หักค่าโค้ดส่วนลดที่ร้านตั้งให้ลูกค้าเอง = -10 บาท
หักค่าธรรมเนียมต่างๆ อีกประมาณ 18.19% จากยอดหักลบด้านบน (1795) = ~327 บาท

(ที่ตัวเลขไม่เป้ะ ตรงนี้ผมไม่ทราบว่าสุดท้ายน้องเค้าเข้าร่วมโปรแกรมอะไรบ้าง หรือยังอยู่ในเงื่อนไขส่วนลดโปรแกรมเสริมอะไรเพิ่มเติมไหม)

ส่วนใครอยากรู้ว่าผู้ซื้อ กดชำระมาใช้ส่วนลดร้านค้า หรือ Shopee แบบไหนบ้าง กดตรงคำว่า การชำระเงินของผู้ซื้อเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติม จะมีระบุว่าคนซื้อใช้ส่วนลดอะไรมาบ้าง

กดแล้วจะเห็นประมาณนี้ (อันนี้ตัวอย่างของคำสั่งซื้ออื่นนะครับ)

แล้วจะยกเลิกการออกค่าส่งให้คนซื้อได้ไงอ่ะ?

กดเข้าไปที่สินค้าตัวนั้นๆ แล้วตรวจสอบดูว่า ได้เผลือเลือกครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการจัดส่งไว้รึเปล่า

ถ้าเผลอกดเปิด ให้กดปิด (เป็นสีเทาตามภาพ)

สรุปทำไมขาย Shopee แล้วขายได้ แต่ไม่เหลือกำไร?

  1. ไม่เข้าใจว่าค่าธรรมเนียมตอนนี้คิดเท่าไหร่ เลยทำให้ตั้งราคาขายได้ไม่เหมาะสมอาจขาดทุน หรือ กำไรน้อยมาก ไม่คุ้มเหนื่อย
  2. ไม่รู้ว่าเข้าโปรแกรมเสริมนู่นนี่ไปเสียอีกเท่าไหร่ จำเป็นมั้ยกับการที่ต้องเข้าร่วมทุกโปรแกรม ทั้ง ส่งฟรี โค้ดลด และ Live โค้ดโหด
  3. เผลอเปิดครอบคลุมไปออกค่าส่งให้คนซื้อ ทั้งๆที่จริงๆ ควรโยนเป็นภาระของคนซื้อดีกว่า (แถมคุณก็เข้าร่วมโปรแกรมส่งฟรีร้านโค้ดคุ้มอยู่แล้ว ลูกค้าเก็บโค้ดส่งฟรีใช้เองได้น่ะแหละ)

ลองไปตรวจเช็คดูนะครับหวังว่าจะเป็นประโยชน์!

สำหรับโพสนี้ สามารถตามไปอ่าน Comment เพื่อนๆทั้งหมดได้ที่นี่เลยครับ
https://www.facebook.com/share/p/gjBe3E4jEdvfLnqm/

อย่าลืมกดติดตาม Jade : เลือดสาดมาร์เก็ตติ้ง เพื่อไม่พลาดโพสถัดไปฮะ
เพจจริงต้องมีเครื่องหมายติ๊กถูกสีฟ้า

มีคำถามอะไรเพิ่ม ถ้าตอบได้จะตอบให้
Comment ไว้ได้เลยจ้ะ