Categories
Shopee Seller Note

ได้รู้อะไรมากขึ้นบ้าง? แชร์ประสบการณ์ขึ้น SHOPEE LIVE ด้วยตัวเองต่อเนื่อง 30 วัน

ก่อนอื่นผมต้องเกริ่นว่า สำหรับใครที่คิดว่าคนที่เปิดคลาสสอน Shopee ทำ Content Shopee / Lazada / TikTok มีเพจคนตามเกือบแสนคน
แล้วคิดกันไปเองว่าผมต้องเก่งกว่าคุณทุกอย่างไปหมด คุณคิดผิด!!

เพราะจริงๆ สิ่งที่ผมนำมาแชร์เกิดจากประสบการณ์ที่ได้ลงมือทำ
และการลงมือทำ ไม่ได้แปลว่าทุกคนจะได้ผลลัพธ์ที่เท่ากันเสมอไป

เพราะที่แน่ๆ ถ้าสินค้าคุณแตกต่าง จุดเด่นคุณแตกต่าง และ พื้นฐานคุณแตกต่าง มันจะไม่มีทางได้ผลลัพธ์ที่เหมือนกันเลยครับ

ฉะนั้นบทความนี้เป็นการแชร์ประสบการณ์ของผม
ซึ่งมันถูกต้อง และ เป็นเรื่องจริงของผม
แต่มันอาจไม่ถูกต้อง และไม่จริงสำหรับคุณก็ได้

เอาเป็นว่าอ่านแล้วอย่ากดดัน
อ่านแล้วเลือกเก็บเกี่ยวสิ่งที่มีประโยชน์ไปใช้ก็พอครับ

ถ้าเข้าใจและพร้อมแล้ว เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ

อันนี้เป็นสถิติที่ผมกดย้อนดูไป 30 วัน ครับ
ผมกด LIVE ไป 30 ครั้ง
เวลารวมในการขึ้น LIVE 48 ชั่วโมง 33 นาที 51 วินาที
ยอดเข้าชม 23,400 ครั้ง
ผู้ชม 19,400 คน
ค่าเฉลี่ยในการดู 49 วินาที
ดูพร้อมกันสูงสุด 44 คน
ได้ผู้ติดตามใหม่จากการ LIVE 192 คน
ได้คำสั่งซื้อ 122 ออเดอร์
ตกเป็นรายได้ 244,500 บาท

ผมถามคนดู LIVE ตอนนั้น ร้อยกว่าคนเหมือนกันว่า ยอดเท่านี้เยอะหรือน้อย ได้คำตอบที่แตกต่างกันไป

โดยผมออกแบบเงื่อนไขในการ LIVE ว่า
– ขึ้น LIVE อย่างต่ำ 1 ชั่วโมง โดยใช้เวลาว่างหลังเลิกงานมาทำ
ไม่ยิง Live Ads
ไม่แจก Coin
– ไม่เข้าโปรแกรม Shopee LiveXtra (ไม่ยอมเสียค่าธรรมเนียมเพิ่ม)
– ไม่จ้าง KOL
– ไม่ตั้งค่าพาร์ทเนอร์ (ไม่ให้ Extra Comm คนหยิบสินค้าไปปักตะกร้าขาย)

ทั้งหมดนี้มีเหตุผลอยู่ครับ อยากรู้ว่าทำไม ไถอ่านต่อไปเรื่อยๆครับ

ตรงนี้ไม่มีใครกำหนดให้ ผมกำหนดให้ตัวเอง

สิ่งที่ผมเรียนรู้ และ พอแบ่งปันให้คุณได้บ้าง คือ

1. ใครบอก LIVE แล้วขายดี ให้ดูสาเหตุที่ลึกกว่านั้น
ถ้าใครบอกว่าขึ้น LIVE แล้วจะขายดีแบบขายดีมากกกก
เอาตัวเลขยอดขายมาอวดเยอะๆ
มันมีความจริงอยู่ครับ แต่ต้องวิเคราะห์ต่อให้ดี เพราะ

สินค้าหลายชนิด ต่อให้คุณไม่ขึ้น LIVE
แต่ถ้าสินค้าดี และ มีคนอยากได้อยู่แล้ว
ต่อให้คุณไม่ขึ้น LIVE คนก็ซื้ออยู่ดี

แต่การขึ้น LIVE และมีการตอบโต้กับลูกค้า
มันทำให้ตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น จ่ายเงินไวขึ้น อันนี้จริง

ถ้าให้ผมเล่าให้ฟังตรงๆ คือ สรุปว่าดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

2. ตัวสินค้าที่เอามาขายใน LIVE เองมีผลมาก
ถ้าราคาสูง และ ซื้อซ้ำยาก
การขึ้น LIVE โดยเอาโค้ดใน LIVE มาให้ลูกค้ารีบกดซื้อ แทบไม่มีประโยชน์

ยกตัวอย่างสินค้าที่ผมขาย
ไม่ได้เป็น Limited Edition (จำนวนจำกัด)
หาได้ทั่วไป
และมีค่าเฉลี่ยต่อคำสั่งซื้อ 2000 บาท ซึ่งถือว่าสูง

หากจะเอาโค้ดใน LIVE
ที่มีส่วนลดเพิ่ม 80-120 บาท มาให้ลูกค้า
ลูกค้าก็ไม่หวั่นไหวพอที่จะอยากซื้อ เพราะมันแทบไม่ลดเลย

3. การเข้าโปรแกรม LiveXtra (Live โค้ดโหด) ไม่ได้เหมาะกับทุกคน
ก่อนที่อยากจะได้โค้ดมาแจกเพราะลดเยอะๆ
คุณต้องศึกษาก่อนว่า

3.1 เข้าไปแล้วได้ส่วนลดเป็นยังไง?
3.2 เข้าไปแล้วต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มอีกเท่าไหร่?

3.1 เข้า LiveXtra แล้ว ได้ส่วนลดเพิ่มจากร้านปกติทั่วไปยังไง?

ต้องเล่าเป็นฉากๆ งี้ว่า
มันจะมีช่วงที่ Shopee อยากดันอะไรเป็นพิเศษ
หมวดหมู่นั้นอาจมีโค้ดลดเพิ่มมากกว่าปกติ

เช่น ช่วงนี้ Shopee ผลักสาย Fashion และ Beauty มาก
(ตลาดใหญ่ มีความต้องการสูง และต้องแข่งขันกับ Platform อื่นๆ)
โดยเฉพาะช่วงเวลา 20:00-22:00 ของทุกวัน

จะเห็นได้ว่า ถ้าเป็นร้าน LiveXtra + ส่วนลดร้านโค้ดคุ้ม
(ร้านค้าต้องจ่ายค่าโปรแกรมส่งเสริมการขายเพิ่มให้ Shopee)
ลูกค้าจะมีโค้ดพิเศษลดเพิ่ม 30% สูงสุด 300 บาท

แต่ถ้าเป็นร้าน LIVE ทั่วไป ที่ไม่ได้เข้า LiveXtra
มีโค้ดลดเหมือนกัน แต่ลด 30% สูงสุด 150 บาท

สายแฟชั่น และ บิวตี้ถูกผลักดันสูงมากในช่วงนี้

ช่วงวัน Campaign ใหญ่ๆ เช่น ต้นเดือน วันเลขเบิ้ล กลางเดือน ปลายเดือนส่วนลด 50% ลดสูงสุด 100 บาท (หมดไวมากแบบไม่กี่วินาที)
ส่วนลด 40% ลดสูงสุด 120 บาท
ส่วนลด 30% ลดสูงสุด 120 บาท

ส่วนวันปกติทุกวัน จะมี
ส่วนลด 50% ลดสูงสุด 100 บาท (หมดไวมากแบบไม่กี่วินาที)
ส่วนลด 40% ลดสูงสุด 100 บาท
ส่วนลด 30% ลดสูงสุด 100 บาท

โค้ดส่วนลดที่มีให้เฉพาะร้านที่เข้าโปรแกรม LiveXtra

ส่วนร้านที่ไม่เข้าร่วม (ไม่ยอมเสียเงินค่าโปรแกรมนี้เพิ่ม) จะมีโค้ดแบบนี้
ส่วนลด 30% ลดสูงสุด 80 บาท
ส่วนลด 20% ลดสูงสุด 80 บาท

จริงๆ สำหรับใครที่อยากศึกษาเพิ่ม จะบอกว่าส่วนลดพวกนี้
มันมีเงื่อนไขด้วยครับ ว่าโค้ดลดใช้กับสินค้าประเภทไหนได้ หรือไม่ได้
(ไม่ได้ใช้ได้กับทุกสินค้านะครับ)

ข้อกำหนดส่วนใหญ่จะมีว่า
โค้ดใช้ได้กับสินค้าที่ร่วมกิจกรรมใน Shopee Live เท่านั้น
ยกเว้น สินค้าตั๋วและบัตรกำนัล, นมผงสำหรับเด็กสูตร 1 และ 2, ทองคำแท่ง, ทองคำแผ่น, สร้อยคอทองคำ, แหวนทองคำ, ต่างหูทองคำ, สร้อยข้อมือทองคำ, เพชร, สร้อยคอเพชร, แหวนเพชร, ต่างหูเพชร, สร้อยข้อมือเพชร, และสินค้าควบคุมตามกฎหมาย อ่านเพิ่มที่นี่ เพราะอาจมีการเปลี่ยนแปลงทีหลัง

3.2 เข้า LiveXtra ต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มอีกเท่าไหร่?
ถ้าคุณไม่ได้เข้าโปรแกรมส่งฟรี หรือ โค้ดคุ้ม คุณจะเสียเพิ่มอีก 3.21%
ถ้าคุณเข้าอย่างใดอย่างหนึ่งคุณเสียเพิ่มอีก 2.14%
อ่านรายละเอียด และ กดสมัคร Shopee LiveXtra Program ได้ตรงนี้ครับ


4. เทคนิคการตัดสินใจว่าจะเข้าโปรแกรม LiveXtra ดีไหม คือ การสวมบทบาทมามองในมุมคนซื้อ
ถ้าขายของแพง ลดแค่ 80 บาท 100 บาท มันไม่เร้าใจมากพอที่คนจะซื้อ

ระหว่างการ LIVE ผมถามคนดูว่า
ถ้าผมขายสินค้าแบบ 1 หรือ 2
แบบไหนคุณหวั่นไหวอยากซื้อมากกว่า? คุณว่าแบบไหน?

ทุกคนตอบเหมือนกันหมดว่าแบบที่ 2


เพราะขายสินค้าที่มีราคาและส่วนลดแบบที่ 1 มันลดน้อยเกิน
จึงแทบไม่มีผลในการตัดสินใจที่ต้องรีบซื้อตอนนี้เลย

5. Live Ads และ แจก Coin อาจไม่ได้จำเป็น และไม่ได้เหมาะกับทุกสินค้า

คือ เราต้องรู้พฤติกรรมลูกค้าของเราก่อน ว่าเป็นกลุ่มไหน
ผมอธิบายให้ฟังว่า สินค้าของผมเป็นกล้อง
และค่าเฉลี่ยในการซื้อคือ 2000 บาท ต่อคำสั่งซื้อ

ผมถามคนดูว่า เป็นไปได้ไหม?
ที่ผมแจก 0.5 Coin ทั้งวันเลย!!
แล้วคนที่เข้ามารอเก็บ Coin รอ 5 นาที

อยากซื้อของราคา 2000+ ทันที!

คำตอบคือ ไม่ แน่ๆ ถ้าสินค้านั้นไม่เกี่ยวกับเค้าเลย

6. สินค้าที่เหมาะ คือ สินค้าที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย
ลองคิดเล่นๆว่าคนส่วนใหญ่ที่เข้ามารอเก็บเหรียญ
เป็นคนแบบไหน ลักษณะการใช้ชีวิตประมาณไหน?
ที่ยอมเอาเวลา 5 นาที มารอแลกกับเงิน 0.5 บาท (หรือน้อยกว่านั้น)

คำตอบคือ อาจจะเป็นพวกแม่บ้าน
หรือคนที่อยู่บ้าน นั่งว่างไม่มีอะไรทำ
แล้วเปิดดูทิ้งไว้เหมือนพวกรายการ TV Direct ก็ได้

ถ้าสินค้าที่คุณนำมาขาย ไม่ได้เกี่ยวข้อง ซื้อได้ง่าย ตัดสินใจได้ง่าย
การยิงโฆษณา หรือ ขาย คุณอาจได้ไม่คุ้มเสียแน่ๆ

ยกตัวอย่างสินค้าที่พอเป็นไปได้ คือ กลุ่มแม่บ้าน ซื้อง่าย มีโอกาสซื้อซ้ำ เช่น น้ำมันพืช ครีมอาบน้ำ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบ้าน ซึ่งเป็นสินค้าที่มีใช้กันในทุกครัวเรือน มีราคาไม่สูง และยังมีโอกาสที่จะขายได้มากกว่ากล้องที่ผมขายแน่ๆ

7. นี่คือเหตุผลง่ายๆที่ตอบคำถามหลายคนได้ว่า
ทำไมยิงโฆษณาแล้วขายไม่ได้ มีคนดู ไม่มีคนซื้อ ไม่คุ้ม


และทำไมผมไม่เลือกที่จะยิงโฆษณาเพิ่มเลย
เพราะ ต่อให้ยิง มียอดการมองเห็นมากขึ้น
แต่สินค้าผมเฉพาะกลุ่มเกินไป ไม่คุ้มค่าที่จะทำให้คนเห็นลักษณะนี้

และหากคุณยังนึกภาพไม่ออก ผมแนะนำ
ให้คุณค่อยๆอ่านตั้งแต่ข้อ 1-6 อีกรอบนึง
เผื่อได้ไอเดียเพิ่มเติม

ข้อดีอย่างสุดท้ายที่ผมได้โดยไม่รู้ตัวเลยคือ การมีวินัยกับตัวเองครับ
(ผมว่าดีกว่าผมได้เงินแสน)

คือหลายคนเวลาขายไม่ได้ ขายไม่ดี
มักจะติดนิสัยทำแบบเดิม (ติดนิสัยทำ Autopilot)

แต่อยากได้ผลลัพธ์ที่ต่างออกไป
ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลย
!!

ช่วงที่ผมเริ่ม LIVE เป็นช่วงที่ผมรู้สึกว่ายอดขายไม่ดี
จะทำ Content ก็ทำอยู่แล้ว
ยิง Ads ก็ยิงอยู่แล้ว
ผมรู้สึกว่า ผมอยากท้าทายทำอะไรซักอย่างเพิ่ม
อยากรู้ว่าเราทำแล้วจะได้อะไร จากการเรียนรู้ในการลงมือทำ
อยากรู้ว่าเราทำแล้ว จะได้แรงเหวี่ยงให้เราไปเจออะไรอีกไหม

ผลสุดท้าย นอกจากได้ยอดขาย ได้รู้ปัญหาลูกค้าเพิ่ม
ได้รู้วิธีแก้ปัญหา เตรียมรับมือตอบคำถามเฉพาะหน้าเพิ่ม
เราก็ได้ประสบการณ์ที่สัมผัส

การคุยคนเดียว 5555
การไม่คาดหวัง (หลายครั้ง LIVE แล้วได้ 0 บาท)
การสู้ไม่ถอย (จะไม่ลง LIVE จนกว่าจะขายได้)
การยอมรับว่าอยากได้นิสัยใหม่ ต้องทำสิ่งใหม่ให้เป็นนิสัย
การยอมรับว่า ทำแบบเดิมได้แบบเดิม

ผมยกตัวอย่างใน LIVE ว่า ผมไม่ได้ลำบากอะไรมากขึ้นหรอก
ผมแค่แบ่งเวลาจากการอ่านการ์ตูน / ไถ Feed Social เสือกเรื่องชาวบ้าน มาเสือกเรื่องที่ตัวเองควรทำเท่านั้นเอง

ผมว่าการพักผ่อนก็ดี แต่ถ้าพักแล้วตื่นมาผลลัพธ์เป็นแบบเดิม ก็ลองเปลี่ยนวิธีดีกว่า

หวังว่าประสบการณ์ที่ผมนำมาแชร์ จะมีประโยชน์นะครับ

ใครอ่านจบแล้ว อยากแชร์ความคิดเห็นกัน
ฝาก Comment ไว้ด้านล่างได้เลยฮะ
(เป็นกำลังใจที่ดีมากสำหรับการเขียน หรือ การแชร์ครั้งถัดไป)

ไม่ Comment ไม่ Post ต่อ!!

ผมบอกเลยจากการผ่านประสบการณ์ LIVE 0 คนดู ยอดขาย 0 มานาน การคุยกับตัวเองในกระจก หรือกระดาษโดยไม่ต้องใช้เวลามาเขียนเพื่อแบ่งปันใคร มันโคตรง่ายไปเลย 555

ฉะนั้นอ่านจบ Comment ซะนะจ้ะ
ก่อนอ่านรู้สึกยังไง?
อ่านจบรู้สึกยังไง?
อยากบอกอะไรผมบ้าง?

ไม่ครบ 10 comment ไม่มี Post ถัดไป 555
(ผมยังคับให้คุณ Comment เพราะอยากให้คุณทำเพื่อ Reflect ความคิดตัวเอง จะได้ไม่อ่านแล้วผ่านไป)

สำหรับใครที่อยากดู LIVE ย้อนหลัง (ไม่ตัดต่อ)
เพื่อให้เข้าถึงอารมณ์ได้มากกว่าการอ่าน
ผมมีเปิด Subscription ผู้สนับสนุน เดือนละ 319 บาท
คิดว่าจะมาแบ่งปันเรื่อยๆ หน้าเพจ

ซึ่งคุณไม่ต้องสมัครก็ได้ แต่พอ LIVE จบปุ๊บ
จะมีเฉพาะสมาชิกที่ดูย้อนหลังได้ครับ

พอมีรายได้จะได้มีข้ออ้างให้ตัวเองมาไลฟ์บ่อยๆ แทนที่จะไปไลฟ์ขายของครับ 555

ซึ่งคนไหนที่เป็นสมาชิก
สามารถ Request เนื้อหาที่อยากให้แชร์ครั้งถัดไปได้
และจะเลิกสมาชิกรายเดือนเมื่อไหร่ก็ได้ครับ

ใครสนใจกดสมัครตรงนี้หน้าเพจ Jade : เลือดสาดมาร์เก็ตติ้ง ได้เลย

สำหรับใครไม่อยากพลาดเนื้อหา หรือ LIVE ถัดไป
อย่าลืมกดติดตาม Jade : เลือดสาดมาร์เก็ตติ้ง
เพจจริงต้องมีเครื่องหมายติ๊กถูกสีฟ้า

Categories
Lazada Seller Note

ทำไมต้องเข้าแคมเปญถึงขายดี? Lazada Step UP your Success 2024 (ตอนที่ 4)

ก่อนเล่า Session นี้ ผมขอเพิ่มเติมเกร็ดเล็กน้อยนิดนึงครับ

เวลาคุณดูสัมมนาเพื่อเสนอขายอะไรบางอย่าง
ผมอยากให้คุณสังเกตดู ลำดับการนำเสนอดีๆครับ

ถ้าสุดท้ายจุดประสงค์ของงานคือการจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการขายให้บริษัทฯ หรือ องค์กรตัวเอง เค้ามีการเรียงลำดับการขายยังไง?

ผมแกะมาให้ตามนี้ครับ

ช่วงที่ 1 : พูดถึงความประสบความสำเร็จในปีที่ผ่านมา
(ขายความเชื่อมั่น)

ช่วงที่ 2 : พูดเรื่องสถิติที่สนับสนุนสิ่งที่ตัวเองทำ
(ขายอนาคต)

ช่วงที่ 3 : พูดถึงเส้นทางขายดี แนวทางที่ Lazada เตรียมไว้ให้คุณ
(ขาย Seller Package + Premium Package)

ช่วงที่ 4 : พูดถึงความสำคัญของการเข้าแคมเปญ
(ขายความสำคัญของการเข้าแคมเปญ)

ช่วงที่ 5 : พูดถึงอยากขายดีต้องทำให้คนเห็นด้วยการซื้อโฆษณา
(ขายความสำคัญของการซื้อโฆษณาเพิ่ม)

ช่วงที่ 6 : เชิญแบรนด์ที่ขายดี (Testimonial) และ ให้รางวัล
(ขยายและตอกย้ำสิ่งที่คนขายอยากได้ อยากเป็น)

เห็นไหมครับ Lazada ไม่ได้เริ่มเริ่มวกเข้า Session ขายของแต่แรก
แต่เพิ่งมาขายช่วงที่ 3 เป็นต้นไป

คนเราอยากขายอะไรให้ได้ราคา ต้องขายความเชื่อก่อน เพราะมันจะได้ทำราคาได้ดีครับ!

Step การขายแบบนี้แหละ ที่เค้าจะใช้กันบ่อย
ลองเอาไปปรับใช้และสังเกตดูครับ

Session นี้ ถ้าให้ผมสรุปแบบภาษาเพื่อนเล่าให้คุณฟัง


ตรงนี้ไม่มีข้อมูลมาจาก Lazada แต่เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะ

สมมุติคะแนนสินค้าที่ขายดี คือ เต็ม 10
10 คะแนนนี้ ต้องประกอบด้วยอะไรบ้าง?

4 คะแนน เป็นสินค้าที่ดี มีความต้องการและเหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย
1 คะแนน เป็นสินค้าที่มีรีวิวดี
3 คะแนน เป็นสินค้าที่ใช้โค้ดส่วนลด แล้วคุ้มค่ากว่าร้านอื่น
2 คะแนน เป็นสินค้าที่คนต้องเห็นคุณด้วย


เพราะถ้าไม่เห็น สิ่งที่คุณทำตั้งแต่ต้น มันไม่มีประโยชน์เลย

เรามาพูดถึงเรื่องการเพิ่มการมองเห็นเพื่อให้เกิดการขายดีใน Lazada ครับ
การที่คุณอยากให้สินค้าที่คุณมีการมองเห็นที่ดี และมีการสั่งซื้อที่ง่าย
ถ้าคุณดูจากภาพด้านล่าง คุณจะเห็นได้ว่า
1. ยอดขายส่วนใหญ่บน Lazada เกิดจากการเข้าร่วมแคมเปญ
2. สินค้าในช่วง Mega Campaign จะขายดีกว่าวันปกติ
3. จากสถิติพบว่าคนซื้อนิยมใช้โค้ดส่งฟรีเยอะขึ้น
4. จากสถิติพบว่าคนซื้อจำนวนมากใช้โค้ดส่งฟรี + ส่วนลดพร้อมกัน
5. ลาซาด้าบอกว่าปีนี้ได้มีการทุ่มงบทำโค้ดส่วนลดให้มากขึ้นด้วยนะ
(ใช่เหรออออ 555)

เพราะฉะนั้นแปลว่าถ้าอยากขายดี ก็ต้องเข้าร่วมแคมเปญ (เพราะยอดขายส่วนใหญ่มาจากแคมเปญ) และ Lazada ก็มีแคมเปญให้ร่วมประมาณนี้

สังเกตไหมครับว่า ตัวเลขทั้งหมดที่ยอดขายเพิ่ม มาจากแคมเปญ
ถ้าคุณลงสินค้าเฉยๆ แล้วขายไม่ดี มันบ่งบอกว่าเพราะคุณไม่เข้าร่วมเอง

ทำไมเข้าแคมเปญถึงขายดีน่ะเหรอ?
1. เพราะ Lazada ทำการตลาด Promote ดึงคนให้เข้าทุกแคมเปญอยู่แล้ว (และคนที่ซื้อใน Lazada เป็นประจำ จะรู้ดีอยู่แล้วว่าต้องซื้อช่วงไหนถูกและคุ้มค่า)
2. Lazada มีโค้ดลดเพิ่มในช่วงแคมเปญ และใช้ได้กับเฉพาะสินค้าที่ร่วมแคมเปญเท่านั้น
นั่นแปลว่า ต่อให้คุณลงขายสินค้าใน Lazada เหมือนคนอื่นก็จริง
แต่สินค้าคุณไม่ได้เข้าแคมเปญ สินค้าคุณก็จะใช้โค้ดส่วนลดของ Lazada ไม่ได้เลย
3. สินค้าที่เข้าแคมเปญ จะได้รับการติดป้าย Tag พิเศษ และ ช่วงแคมเปญแอพก็จะดันสินค้าในแคมเปญให้เห็นเยอะขึ้น
นั่นหมายความว่า สินค้าที่ไม่ได้เข้าร่วมแคมเปญ คนจะเห็นน้อยมาก

ซึ่งตะกี้ Lazada เพิ่งบอกเองไงว่า เข้าร่วมแคมเปญแล้วขายดี
ก็แค่เล่นบาลีป่ะ คือ ถ้าไม่เข้าร่วมแล้วขายไม่ดีก็ปกติหนิ 555

และ หากคุณคิดว่าจะเข้าร่วมเฉพาะแคมเปญใหญ่ๆก็พอแล้วมั้ง
ผมก็คงจะต้องบอกว่า คุณอาจคิดผิด เพราะคนขายประจำที่ทำยอดได้ดี เค้าเข้าร่วมได้ทุกแคมเปญใหญ่ แคมเปญย่อยเลยอ่ะ


ซึ่ง Lazada บอกว่า แคมเปญย่อยๆ (Category Campaigns) ที่เมื่อก่อนก็มีแหละ แต่มีน้อย ตอนนี้จะเพิ่มจำนวนให้มากขึ้นไปอีก!!

นั่นแปลเป็นความหมายในมุมผมว่า
ต่อจากนี้ จะแทบหาวันปกติที่ไม่มีแคมเปญใน Lazada ยากมากขึ้นมาก เพราะเข้ามาวันไหนก็แทบจะเรียกว่าถูกทุกวัน (แตกต่างแค่วันนี้ มันถูกวนไปแคมเปญของหมวดหมู่สินค้าอะไรแค่นั้นเอง)

ยิ่งตอกย้ำไปอีกว่า
คนขายที่เข้าร่วมอะไรไม่ได้ ยิ่งหมดสิทธิ์ขายได้เลย
เมื่อเทียบกับร้านค้า และผู้ขายที่พร้อมอยู่แล้ว

คุณอาจขายได้เพราะความบังเอิญ เช่น
บังเอิญมาเจอสินค้าคุณพอดี (ที่การมองเห็นน้อย)
บังเอิญเป็นคนที่ไม่ชอบใช้โค้ดส่วนลด (เพราะใช้ไม่เป็น)
บังเอิญรีบใช้และร้านอื่นๆ ที่ว่ามาไม่มี (ร้านขายดีปล่อยให้สินค้าตัวนี้หมดสต๊อก)

ยุคนี้ใน Lazada หาได้ยากมาก ที่จะพูดว่าแค่ลงสินค้าก็ขายดี
มันต้องพร้อมกว่าสมัยก่อนเยอะมาก
เพราะ ตอนนี้มีแต่แบรนด์ใหญ่ และ พ่อค้า แม่ค้า พร้อมสู้ตายในตลาดครับ

และจุดสำคัญที่คนขาย Lazada ทุกคนพูดเรื่องเดียวกัน คือ
ไม่ใช่ว่าอยากจะกดเข้าแคมเปญก็เข้าได้ง่ายๆ นะครับ

หากคุณไม่เคยขายบน Lazada เลย
ผมจะบอกว่าสินค้าที่เข้าร่วมแคมเปญ คุณต้องลดมากกว่าวันปกติ
และสินค้าที่เข้าร่วมแคมเปญได้ ต้องโดนบังคับให้เข้าร่วมโปรแกรมส่งฟรี


สรุปเป็นตารางได้ว่า
คุณต้องเผื่อค่าใช้จ่าย เพื่อลดค่าสินค้าอย่างน้อย 20%!!
1. ลดค่าสินค้าเพื่อเข้าแคมเปญอย่างน้อย 5-10% (แล้วแต่หมวด และ ความใหญ่แคมเปญ)
2. บังคับเข้าร่วมโปรแกรมส่งฟรีอีก 5.35% (ไม่เข้า ก็เข้าแคมเปญไม่ได้)
3. ค่าธรรมเนียมการขายและชำระเงินแบบพื้นฐานบน Lazada อยู่แล้ว ประมาณ 10.7-12.56%

ใช่ครับ คำว่าอย่างน้อย 20% คือ อย่างน้อยที่สุดจริงๆ
เพราะ ถ้าอยากจะให้เกิดการมองเห็นมากกว่านี้ ก็ต้องเพิ่มค่าโฆษณาอีก
และนี่ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายพื้นฐานอื่นๆ
เช่น ค่าแรงงาน กล่อง สถานที่ ภาษี นะครับ

ขายสินค้า 100 บาท
คุณโดนหักไปแล้ว 20 บาท เป็นอย่างน้อย (ยังไ่ม่รวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ)
คุณคิดว่าคุณเหลือกำไรกี่บาทครับ
ถ้าไม่ใช่เจ้าของแบรนด์ หรือ ต้นแหล่งมาเอง 555

ถ้าค่าใช้จ่ายเยอะขนาดนี้ แปลว่าคุณต้องมีพื้นฐานในการตั้งราคามากๆครับ ถึงจะรอดในการจ่ายหนักและยังเหลือกำไร

สรุปช่วงนี้ที่ Lazada อยากบอกคือ อย่าลืมร่วมแคมเปญนะจ้ะ 555


สำหรับ Part 5 : เราจะมาพูดเรื่องการเพิ่มการมองเห็น (โฆษณา) ใน Lazada กัน (ไว้ว่างๆสรุปให้ฟังครับ)

อย่าลืมกดติดตาม Jade : เลือดสาดมาร์เก็ตติ้ง เพื่อไม่พลาดโพสถัดไปฮะ
เพจจริงต้องมีเครื่องหมายติ๊กถูกสีฟ้า

Categories
Lazada Seller Note

วิธีขายดีตามที่ Lazada แนะนำ จากงาน Lazada Step UP your Success 2024 (ตอนที่ 3)

สำหรับ Part นี้ จะเป็น Part ชี้ช่องรวย ที่ Lazada มาขายของครับ
ว่าผู้ขายที่ขายดี ทำอะไรบ้าง

ใครที่พลาดอ่านเนื้อหาเก่าๆ กดอ่าน
ตอนที่ 1 ภาพรวมแนวทางที่ Lazada กำลังทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ
ตอนที่ 2 สถิติที่น่าสนใจของนักช้อปไทย 2024

Lazada เล่าว่า การทำให้เป็นร้านขายดี มีสูตรสำเร็จเป็นขั้นตอนตามนี้

1. โตให้เป็น

ในทุกช่วงที่ยอดขายจะเติบโตขึ้นได้ การถ่ายรูป ลงสินค้า ให้ได้คุณภาพก็เป็นเรื่องท้าทายสำหรับผู้ขายหน้าใหม่แล้ว
แต่ทำแค่นั้นเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอหากินอีกต่อไปแล้วครับ
เพราะใครๆก็ทำเป็น

สิ่งที่สำคัญคือ คุณต้องอยู่ให้เป็นด้วย
การที่จะให้สินค้าใหม่ เกิดการมองเห็น และมีการผลักดันการมองเห็นจาก Platform คุณควรต้องเข้า Seller Packages ครับ

Seller Package คืออะไร?

รู้จักแพคเกจอินเตอร์เนทบ้านป่ะ ที่มีขายพ่วง เนทบ้าน เนทมือถือ?
Lazada ก็กำลังขายแพคเกจคล้ายๆกัน
ด้วยบริการที่ต่างออกไป เช่น
– เรียนรู้โดยการส่งสินค้าเข้าแคมเปญสิ จะได้เกิดการมองเห็นเยอะๆ
(แต่ต้องลดราคาให้ผ่านระบบนะ)
– เติมงบยิงโฆษณาตามที่ระบบแนะนำสิ
(เช่น New Seller จะมีภารกิจให้ทำโดยการเติมเงินโฆษณา 1000 บาท)
– ลองใช้ LazCoin สิ แล้ว Lazada จะสนับสนุน Seller Coin เพิ่มให้

ภารกิจที่ให้ทำจะยากขึ้นเรื่อยๆ ตามระดับรายได้ของผู้ขายแหละครับ
เช่น ยอดขายเท่านี้ ควรเติมค่าโฆษณารายเดือนเท่าโน้น เท่านี้ เป็นต้น

ผลักดัน Premium Package

เมื่อก่อน Lazada จะอยากให้คุณเข้าร่วมโปรแกรมส่งฟรี ที่คุณต้องโดนบังคับหักคอเสียเพิ่มอีก 5.35% จากค่าธรรมเนียมมาตรฐานที่เก็บคุณอยู่แล้วประมาณ 10.7% ในหมวดหมู่ทั่วๆไป

และคนขายที่อยากให้ลูกค้าใช้โค้ดได้มากๆ คุ้มๆ ก็โดนหักคอด้วยการที่ต้องออกค่าส่วนลดให้คนที่ซื้อในวันแคมเปญแบบ ร้านรับผิดชอบส่วนลดหน้าแอพไปอีก 60% : Lazada ช่วยลดให้อีก 40% หรือ แบบ 50 : 50

ผมว่ามันคงไม่เวิร์ค เพราะค่าธรรมเนียมมันจุกจิกเยอะเหลือเกิน
Lazada เลยผุด Premium Package ที่รวม โปรแกรมส่งฟรี + ค่าส่วนลดที่ร้านค้าต้องแบกช่วยแพลทฟอร์มออกส่วนลดให้คนซื้อเป็นโปรแกรมเดียว
และคิดเบ็ดเสร็จที่ 5.35% เท่าเดิม

ถ้าสรุปง่ายๆ คือ คุณเสียเพิ่มอีก 5.35% จากค่าธรรมเนียมปกติ
คนซื้อร้านคุณก็จะได้ใช้ทั้งโค้ดส่งฟรีของแอพ และโค้ดส่วนลดของแอพได้ครับ

แน่นอนว่าคุณไม่เข้าก็ได้ แต่ถ้าไม่เข้า ลูกค้าก็ไม่ซื้อคุณแน่นอน
เพราะ ผมเล่าให้ฟังในตอนที่แล้วไปแล้วว่า เดี๋ยวนี้นักช้อปออนไลน์มองหาส่วนลดและความคุ้มค่าเป็นอันดับ 1

สำหรับใครที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มหาสินค้าขายดีจากไหนดี
คือ จริงๆแล้ว ร้านที่ขายดี ไม่ได้แปลว่ามีสินค้า 100 ชิ้น ต้องขายดี 100 ชิ้น
เพราะส่วนใหญ่อาจจะมีแค่ไม่กี่ชิ้นที่ขายได้ และ ได้รับความต้องการสูง
Lazada เรียกสินค้าพวกนี้ว่า สินค้าที่มีประสิทธิภาพ
(แปลว่าถ้าขายไม่ออกก็ไร้คุณภาพใช่ป่ะ 555)

2. การผลักดันสินค้า

สินค้าที่มีคุณภาพคือ ได้รับคำสั่งซื้อแรกภายใน 7 วัน
และได้รับ 5 คำสั่งซื้อใน 14 วัน

ถ้าผ่านเกณฑ์พวกนี้ Lazada จะผลักดันการมองเห็นเลื่อนให้เป็น สินค้าที่มีศักยภาพสูง หรือเรียกว่า PHP (Potential Hero Product)

ซึ่งถ้ายังขายได้เรื่อยๆ ได้ยอดขายโตขึ้นเรื่อยๆ
ก็จะถูกผลักเป็น Hero Product ในที่สุดครับ

ถ้าขึ้นได้สบายเลย เพราะการมองเห็น ยอดขายจะดีมาก
แต่เอาเรื่องจริงมั้ย!!
มันขึ้นยากมาก 555

ใครที่ไม่รู้ว่าสินค้าตัวไหน แบบไหนขายดีบน Platform
Lazada ก็มีแนะนำเครื่องมือ Opportunity Center (ศูนย์รวมโอกาส)
ให้คุณเข้าไปดูเล่นๆ ว่ามีสินค้าประเภทไหน ราคาเท่าไหร่ขายดีอยู่

ถ้าคุณมีช่องทาง หามาขายได้
คำนวณต้นทุนแล้วยังเหลือกำไร
หากเอามาขาย Platform ก็จะดันการมองเห็นให้ด้วยครับ

ในที่นี้มีเครื่องมือต่างๆอีกเช่น โปรโมชั่นราคา Early Bird
หรือ เครื่องมือโปรโมตสินค้าใหม่

ให้ผมพูดแบบไม่ขายฝันนะ
ต่อให้สินค้าคุณจะดีมาก แต่ไม่มีคนเคยซื้อไปใช้
ไม่เคยมีคนพูดถึง ราคาแข่งขันไม่ได้
ตั้งราคา Early Bird ไป ก็ไม่มีประโยชน์


คุณอาจจะต้องลองศึกษาวิธีโปรโมทสินค้านอก Lazada
ดึงลูกค้าเข้ามาซื้อ

หรือหาจุดเด่นที่ของคุณเด่นกว่าคนอื่นใน Platform แล้วชูจุดแข็งนั้น
จะโตง่ายกว่า

ถ้าสินค้าคุณเกิดติดลมบนขึ้นมาเริ่มเป็น PHP การมองเห็นก็จะดีขึ้นครับ
เพราะจะเริ่มได้สิทธิพิเศษมากมาย มากกว่าสินค้าที่ไม่ใช่ PHP

3. บริการเสริม

หลักๆ คือ Lazada กำลังบอกว่า บริการอื่นๆ ที่ Lazada มีอ่ะ มีอะไรบ้าง
ลองดูเล่นๆครับ ว่ามีอันไหนเหมาะกับสินค้าเราไหม ถ้ามีจะขอเปิดใช้บริการพวกนี้ยังไง

สรุป วิธีอัปยอดขาย แบบไม่ขายฝัน (โดยผมเอง 555)

1. เข้าร่วม Seller Package
ซึ่งเค้าจะบังคับให้คุณหัดส่งสินค้าเข้าแคมเปญต่างๆ
เติมเครดิต และใช้เครดิตโฆษณา รวมถึงเครื่องมือต่างๆใน Lazada

= ตรงส่วนนี้จะทำให้ สินค้าคุณเกิดการมองเห็น

2. เข้าร่วม Premium Package
เค้าจะบังคับให้คุณเสียอีก 5.35% เพิ่ม ซึ่งพอคุณกัดฟันเสียเพิ่มได้
คุณก็จะมีโค้ดส่วนลดที่ลูกค้าใน Lazada เก็บมาใช้กับร้านคุณได้
แต่ถ้าคุณไม่ยอมเสีย แทบจะไม่มีส่วนลดอะไรมาใช้กับร้านคุณได้เลย

= ตรงส่วนนี้จะทำให้ร้านคุณเกิดความคุ้มค่าในสายตาลูกค้า
(แต่จะซื้อคุณรึเปล่า ขึ้นอยู่กับคุณคุ้มกว่าร้านอื่นด้วยรึเปล่า 555+)

และ ถ้ามีคำถามว่า ทำไมเข้าแล้วยังขายไม่ได้
ให้ย้อนกลับไปบทความที่แล้ว เพราะลูกค้าเลือกซื้อด้วยความคุ้ม ถ้าคุณไม่คุ้ม คุณก็แค่ร้านที่โดนมองผ่าน

แค่นั้นแหละสั้นๆง่ายๆ

3. หาโอกาสใหม่เสมอ เช่น สินค้าใหม่ โดยใช้ศูนย์รวมโอกาส หรือผลักดันสินค้าใหม่ที่มีแววเป็น PHP เมื่อได้รับโอกาสแล้ว ให้เข้าร่วม LazFlash และ อื่นๆ ที่ได้รับเชิญครับ

สำหรับโพสถัดไปจะเป็น ช่วงที่ 4
สาเหตุที่ทำไมคุณต้องเข้าแคมเปญ Lazada? ทำไมคนที่ไม่เข้าถึงขายไม่ดี ร้านไม่โต ยอดขายไม่ดี

อย่าลืมกดติดตาม Jade : เลือดสาดมาร์เก็ตติ้ง เพื่อไม่พลาดโพสถัดไปฮะ
เพจจริงต้องมีเครื่องหมายติ๊กถูกสีฟ้า

Categories
Lazada Seller Note

สถิตินักช้อปไทยที่น่าสนใจจาก Lazada Step UP your Success 2024 (ตอนที่ 2)

สำหรับ Part นี้เราจะมาพูดถึงเรื่องสถิติที่น่าสนใจของการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์กันบ้างครับ

ส่วนใครที่พลาด ตอนที่ 1 แวะกลับไปอ่านได้ ที่นี่

สำหรับ Session นี้บรรยายโดยพี่ไว ธนาวัฒน์ มาลาบุปผา ผู้ก่อตั้ง Priceza และเป็น ซึ่งเป็นนายกสมาคม E- Commerce ไทย สรุปเรื่องสถิติทุกปีครับ ใครสนใจแวะไปติดตามพี่เค้าทาง Facebook ได้เลยนะครับ

ความน่าสนใจคือ ในภาคพื้นประเทศแถบ South East Asia ประเทศไทยประชากรเป็นลำดับ 4 แต่ยอดขายโตขึ้นเป็นอันดับ 2 แน่ะ

และ มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซของไทย ปี 2024 น่าจะเป็นปีประวัติการณ์ที่ทะลุ 1 ล้านล้านบาทครับ ยังเห็นว่ายังเป็นแนวโน้มที่เป็นเทรนด์ขาขึ้นจริงๆ ใครไม่ขายออนไลน์คือกำลังตัดสินใจทิ้งรายได้ก้อนใหญ่ไปจริงๆ

คาดการณ์ส่วนแบ่งตลาดอีคอมเมิร์ซเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

1. Marketplace : 52 > 55% (รวมคู่แข่งรายอื่นด้วย)
2. Social Commerce : 21 >> 28%
3. Quick Commerce : 11%
4. e-Tailers และ พวก Brand.com : 6%

ที่น่าสนใจคือปัจจัยที่ส่งผลให้คนไทยซื้อของออนไลน์ปีนี้ถูกเปลี่ยนไป
จากอันดับ 1 ที่คนซื้อสินค้าออนไลน์มองหา ส่งฟรี

กลายเป็น คนมองหาคูปองและส่วนลดเป็นอันดับ 1

และ ที่น่าสนใจอีกเรื่องคือ
คืออันดับ 4. เรื่องการคืนสินค้าได้ง่าย พุ่งมาจากอันดับ 6.
คงเป็นเพราะมิจฉาชีพเยอะ คนเลยอยากอุ่นใจมากขึ้น

อยากขายดีในออนไลน์? ต้องตีโจทย์ข้อนี้ให้แตก
คุณต้องให้คนซื้อรู้สึกว่าเค้ากำลังซื้อสินค้าที่ คุ้มค่าและคุ้มราคา ให้ได้

ถ้ารู้ตัวว่าสู้เรื่องราคา (ที่คุณมักแข่งขันไม่ได้)
ก็ต้องเพิ่มในด้าน ประสบการณ์ / แบรนด์ดิ้ง / Personalization
ให้มากกว่าคู่แข่งในธุรกิจเดียวกันให้ได้
เพราะถ้าเพิ่มไม่ได้ก็เตรียมตัวโดนมองข้ามไปได้เลยครับ

แม้ว่าจะซื้อสินค้าจาก Marketplace เป็นหลัก
แต่อย่าลืมว่า 6 ใน 8 ขั้นตอน ลูกค้าเกิดการรับรู้ และ พิจารณาจากช่องทางออนไลน์เป็นหลัก

ตรงนี้หมายถึง Touch Point ครับ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมเราต้องทำ Social Media หลากหลายช่องทาง ให้เกิด Touch Point ที่ว่ากับกลุ่มลูกค้าเรามากที่สุด

OmniChannel จึงเป็นที่มาของทางรอดในยุคนี้ เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ยังไงส่วนใหญ่คนต้องหาข้อมูลจากออนไลน์ก่อน แต่จะไปจบที่ออนไลน์ หรือ ออฟไลน์เนี่ยอีกเรื่องนึง

แต่ถ้าคุณทำการตลาดแค่ออฟไลน์อย่างเดียว ก็ไม่แปลกที่ส่วนแบ่งทางการขายหายไปเรื่อยๆครับ

และยุคทองของอินฟลูเอนเซอร์มาเป็นรูปธรรมมากขึ้นแล้ว เพราะ บทสำรวจบอกว่า 81% ซื้อตามชาวบ้านที่รีวิว 555
โดยเฉพาะหมวด ความงาม แฟชั่น และ อุปโภคบริโภค นี่ตัวแม่เลย

เพิ่มเติมคือ รูปแบบที่อินฟลูฯ ได้รับค่าตอบแทนก็เปลี่ยนไป
แต่ก่อนรับงานเป็นจ๊อบแล้วจบกัน
แต่ปัจจุบันค่าจ้างจะมาในรูปแบบขอเป็น % จากยอดขายแล้ว

สรุปประเด็น Part นี้
1. ทำให้คนซื้อคุ้มได้มั้ย?
2. มีช่องทางการขาย การให้ลูกค้ารู้จักเหมาะสมมั้ย?
3. สินค้าของเราเข้าข่าย และเหมาะสมการใช้อินฟลูเอนเซอร์มั้ย?

กำลังอ่านเพลิน อยากอ่านต่อ?
ตอนที่ 3 วิธีขายดีตามที่ Lazada แนะนำ

อย่าลืมกดติดตาม Jade : เลือดสาดมาร์เก็ตติ้ง เพื่อไม่พลาดโพสถัดไปฮะ
เพจจริงต้องมีเครื่องหมายติ๊กถูกสีฟ้า

มีคำถามอะไรเพิ่ม ถ้าตอบได้จะตอบให้
Comment ไว้ได้เลยจ้ะ

Categories
Lazada Seller Note

สรุปสิ่งที่น่าสนใจในงาน Lazada Step UP your Success 2024 (ตอนที่ 1)

งานนี้มีการจัดทั้ง Offline และ Online ครับ ซึ่งคุณสามารถตามไปดู Facebook Live ย้อนหลังของเพจ Lazada Happy Selling ครับ
https://www.facebook.com/lazadahappyselling/videos/849926670559981

ก่อนที่คุณจะอ่านต่อ ผมขออนุญาตสรุปโดยใช้ภาษาตรงไปตรงมา คือ
งานนี้ Lazada ขายความเชื่อมั่นว่าเค้ายังเป็น Platform ที่ขายดี มีผู้ขายและแบรนด์ที่ขายดี มีอนาคตไกล และ วาดภาพให้ผู้ขายฟังว่า ควรจะใช้บริการอะไรของ Lazada บ้าง

และให้คุณเริ่มมีเหตุผลในหัวว่า ทำไมคุณถึงควรขายบน Lazada ใช้เครื่องมือ ซื้อโฆษณา หรือ ลงเม็ดเงินบน Lazada เพิ่ม

วิสัยทัศน์ ของ Lazada ยังเหมือนเดิม
คืออยากสนับสนุนแบรนด์และผู้ประกอบการที่มาขายในแพลตฟอร์มตัวเองให้เติบโต

เปิดตัวด้วยว่าเชื่อหรือไม่ว่าไตรมาสล่าสุดที่ผ่านมา
เทียบจากยอดขายปีที่ผ่านมา ยอดขายยังโตขึ้นกว่าเดิม 32%

ซึ่ง Lazada บอกว่า Ecosystem ก็ครบแล้วตามภาพ
ทำให้การให้บริการของเค้าไม่สะดุด รองรับผู้ขายอย่างคุณแน่ๆ

ส่วนทิศทางและกลยุทธ์ที่ Lazada กำลังลงทุนและสนับสนุนต่อ คือ

1. ส่งเสริมยอดขาย LazMall ซึ่งให้แบรนด์สามารถทำ Brand Membership เพื่อให้ผู้ซื้อกดเป็นสมาชิกเพื่อทำ Deal พิเศษโดยเฉพาะได้
และ สามารถทำแคมเปญ Brand Day ได้

ผู้เขียน : ตรงนี้ทุก Platform ต้องการดัน Brand อยู่แล้วครับ
เพราะ Brand เองมีงบเยอะ ทุนหนา มากกว่าร้านรับมาขายไปแน่ๆ
ซึ่งถือว่าเป็นวาฬ ลูกค้าตัวจริง กระเป๋าหนัก ที่ทำเงินให้ Platform ได้มาก

2. กลุ่มลูกค้าผู้หญิง ปกติ Lazada จะมี LazBeauty และ Lazlook เพื่อคนซื้อกลุ่มนี้ ที่เพิ่มเติมคือ กำลังจะมีการจัดโปรเพิ่มเติมในฝั่งแฟชั่น Lazlook ในทุกๆวันศุกร์ด้วย

จะทุ่มงบจัด แคมเปญ เพื่อสินค้าบิวตี้และแฟชั่น และยกแคมเปญพวกนี้ให้เป็นระดับ A+ (คือให้ความสำคัญสูงพอๆกับ Mid Month , Payday หรือ Double Digit ที่ไม่ใช่พวก 9.9 / 11.11)

ผู้เขียน : ผมว่าหมวดหมู่นี้กำลังเป็นที่สนใจและดูเหมือนแต่ละ Platform กำลังแข่งขันกันน่าดูเลยครับ (น่าจะมูลค่าในตลาดโดยรวมเยอะ)

3. คนซื้อได้ของไว คนขายต้องส่งของไว เค้าบอกว่าตอนนี้ขนส่งไวแบบนี้ครอบคลุมพื้นที่กว้างขึ้นเป็น 23 จังหวัดแล้วนะครับ (เดิมทีเริ่มแค่ กทม. และ ปริมณฑลเท่านั้น)

4. เครื่องมือโปรโมตสินค้า เป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่าร้านที่ใช้เครื่องมือและจ่ายโฆษณาของ Lazada อย่างต่อเนื่องจะมียอดเข้าชม และยอดขายเพิ่มขึ้น มากกว่าร้านที่ไม่จ่ายอะไรให้ Lazada เพิ่มเติมอยู่แล้ว

และในช่วงปีนี้จะเปิดเครื่องมือใหม่ ชื่อ Sponsored Max
และ Direct Matching Sponsored Affiliate ด้วย เดี๋ยวมาเล่าให้ฟังต่อครับ

5. ยกระดับ AI
ช่วยปรับรูปภาพ / ช่วยเขียนคำอธิบายในตัวสินค้าได้ / มี Chatbot ช่วยตอบคำถามลูกค้าเบื้องต้นให้ได้

ถ้าคุณกำลังจะหาทางโตยอดขาย เป็นร้านขายดีใน Lazada ได้
นี่ก็คือแผนที่ ที่คุณควรทำเบื้องต้น


Lazada อธิบายว่า จริงๆ ทุกขั้นบันไดในการเติบโตยอดขาย
คุณจะลงขายสินค้าเฉยๆ ก็ได้
แต่ถ้าคุณอยากมีการมองเห็นที่ดีกว่าร้านทั่วไป
คุณควรเข้าร่วม Seller Package ที่ Lazada มีขาย…

(ใช่คุณอ่านไม่ผิด Package พวกนี้ คือเอามาขายผู้ขายเพิ่มครับ)

ถ้าคุณกำลังจะถามว่า แล้วขายอะไร?
ผมสรุปสั้นๆให้ว่า
เป็นการใช้เครื่องมือต่างๆที่ Lazada มีนั่นเอง

ยกตัวอย่างเช่น การส่งสินค้าเข้า Campaign
หรือ ให้เติมเงินค่าโฆษณาในระบบ
ลองใช้ระบบ Lazada Partner Affiliate เป็นต้น

และในระดับสูงๆ ขึ้นไป
ก็จะมีการบังคับตัวเลขยอดขายในแต่ละเดือนด้วย
ซึ่งหากทำถึงเป้าได้ก็จะมีสิทธิพิเศษเพิ่มให้ เป็นส่วนลดต่างๆ

ตรงนี้สิ่งที่ Lazada กำลังทำ
เหมือนกับเค้ากำลัง UPSELL ให้คุณใช้บริการเค้ามากขึ้น
เมื่อจ่ายเงินให้ Lazada มากขึ้น
คุณจะได้รับการมองเห็นที่มากขึ้น
และมันทำให้เกิดการเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขันกับผู้ขายรายอื่นในแพลทฟอร์มนั่นเอง

ถ้าเปรียบเทียบง่ายๆ ให้คนขายอย่างคุณเข้าใจง่ายๆ คือ
ถ้าปกติมีคนซื้อของคุณเยอะ คุณอาจให้ราคาส่ง

แต่ในแง่ Lazada
ยิ่งคุณขายได้เยอะ = Lazada ได้ค่าธรรมเนียมมาก และ
ยิ่งคุณใช้เครื่องมือ Lazada เยอะ = Lazada ได้เงินเพิ่มขึ้นมาก

ในแง่ Platform ราคาส่งก็คือ
ลดค่าธรรมเนียม ให้โค้ดเพิ่ม หรือ มีส่วนลดพิเศษต่างๆ ตามระดับที่คุณขายได้นั่นเอง

ไม่ต้องห่วงนะครับว่า Seller Packages พวกนี้เราจะเข้าร่วม หรือ ซื้อได้อย่างไร เพราะ หากเราเป็นผู้ขายที่อยู่ในระดับไหน ส่วนใหญ่จะมีเจ้าหน้าที่ Lazada ติดต่อมาขอขาย Packages ให้เราเองครับ

เช่น ถ้าคุณสมัครเปิดร้านใหม่ ในระบบหลังบ้านคุณ จะขึ้นหน้าจอ NEW SELLER PACKAGES อัตโนมัติ ว่ามีภารกิจอะไรที่คุณควรทำบ้าง

ส่วนแพคเกจอื่นๆ ถ้าคุณปั้นยอดขายได้ในระดับนึง จะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อมาแนะนำ (ขายเพิ่ม) เองครับ ไ่ม่ต้องกังวล

ส่วนเครื่องมืออื่นๆ ที่ถูกพูดถึงคือ ศูนย์รวมโอกาส
ซึ่งผู้ขายทั่วไปสามารถเข้าไปดูในหน้าหลังบ้านของ Lazada ได้
ว่าสินค้าใดขายดี และถ้าอยากขายดี ก็แค่หาสินค้านั้นมาขาย

แต่ส่วนตัวผมเข้าไปแล้วพบว่า
ส่วนใหญ่มีแต่สินค้าจีนที่ยากมากจริงๆครับ
ที่คุณจะขายได้ถูกกว่าที่ Platform มีอยู่
เพราะส่วนใหญ่คนจีนมาขายเองถูกกว่าต้นทุนที่คุณน่าจะได้มา
หรือ ถ้าคุณตั้งราคาขาย คุณน่าจะขาดทุนไม่พอจ่ายค่าภาษีครับ

แต่ไม่เสียหายอะไรถ้าคุณจะลองกดเข้าไปดูเล่นๆด้วยตัวเองครับ
เข้าเมนูหลังบ้าน แล้วกดศูนย์รวมโอกาสตามภาพ

ส่วนอีกเมนูด้านล่างที่เขียนว่า ศูนย์การเติบโตของสินค้า
ตรงนี้สำหรับมือใหม่น่าสนใจครับ

เพราะ Lazada จะวิเคราะห์มาแล้วว่าสินค้าในร้านคุณตัวไหนกำลังได้รับความนิยม และจะเริ่มผลักดันการมองเห็นเพิ่มเติมให้ด้วยครับ
ซึ่งเงื่อนไขที่ต้องทำคร่าวๆก็มีตามภาพ

ส่งท้ายปลายปี 2024 นี้ ด้วยแคมเปญพวกนี้ที่กำลังจะผลักดันต่อไป
โดยเริ่มตั้งแต่เดือนกันยายนปีนี้ Lazada จะยืดระยะเวลาลดราคากลางเดือน Mid Month ให้เป็น 3 วัน คือ 15-17 (แต่เดิมจะมีแค่วันเดียว วันที่ 15)

สำหรับโพสถัดไปจะเป็นช่วงที่เป็นสถิติของการซื้อของผู้บริโภคในไทย
เพื่อไม่ให้โพสยาวเกินไปผมขออนุญาตแบ่งเป็นตอนที่ 2 กดอ่านที่นี่

อย่าลืมกดติดตาม Jade : เลือดสาดมาร์เก็ตติ้ง เพื่อไม่พลาดโพสถัดไปฮะ
เพจจริงต้องมีเครื่องหมายติ๊กถูกสีฟ้า

มีคำถามอะไรเพิ่ม ถ้าตอบได้จะตอบให้
Comment ไว้ได้เลยจ้ะ

Categories
Shopee Seller Note

ถ้าจะจ้างเขา LIVE หรือปักตะกร้าใน Shopee ทำแบบนี้ไปยังไงก็ไม่คุ้ม

[1]
เข้าใจก่อนว่าถ้าอยากมีพาร์ทเนอร์
หรือคนเอาสินค้าเราไปปักตะกร้า SHOPEE LIVE
เพื่อขายของให้เรา

เราต้องจ่ายเพิ่มอีกอย่างน้อย 7% ของค่าสินค้า
(ทุกชิ้นที่ขายได้ผ่าน Shopee Live)

ถ้าไม่จ่ายเงินเพิ่ม
คนก็ไม่เอาไปปักกัน

ยกเว้นสินค้าดังมากๆ
เค้าอาจปักเพื่อเรียกแขก
ให้เข้ามาดูสินค้า LIVE อื่นๆที่เค้าขาย

[2]
เช่น ตั้งขาย 100 บาท
คุณต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้ Shopee
ค่าธรรมเนียมการขาย + จ่ายเงิน
ราวๆ 12% เป็นพื้นฐาน (แบบต่ำสุดแล้วนะ)

และคุณต้องจ่ายเพิ่มอีก 7% (ขั้นต่ำ)
เพื่อให้ค่าจ้างคนพวกนี้ต่อชิ้นถ้าขายได้
แปลว่าคุณต้องจ่าย 19%
เป็นอย่างน้อย (ตีซะ 20% ไปเลยละกัน)

นี่ยังไม่รวมค่าแพ้คของ ค่าโฆษณาอีกนะ
กำไรยังเหลือไหมก่อน

[3]
หลายคนพลาด
เวลาเลือกสินค้าราคาต่ำที่คนอื่นขายดีมาขาย
เพราะดันมองข้ามไปจุดนึงคือ

ไอ้ของ Commodity ที่ดูขายง่ายๆ
มันไม่ได้แค่ จ้างคน LIVE แล้ว ขายได้
แต่ร้านต้องเข้าโปรแกรม LIVE โค้ดโหด
เพื่อให้ใช้โค้ดลด 50% ได้เพิ่มตอนต้นชั่วโมงด้วย


นั่นคือคุณต้องเผื่อค่าโปรแกรมอีก 3%
ตะกี้โดน 19% + 3%
แปลว่าตอนนี้คุณจะโดนไปเหนาะๆ 22%
เป็นอย่างน้อย

ยิ่งสินค้าขายดี
ค่าคอมก็ไม่ได้ตั้งพื้นฐานที่ 7%

ต้องไปแข่งขึ้นค่าคอม
ให้คนอยากเอาของไปปักอีก

ถ้าคุณไม่ตัดราคาสินค้า
คุณก็ต้องไปเพิ่มค่าคอมให้อยู่ดี
จะเสียเงินทางไหนดี 555

[4]
ถ้าคุณกำไรจำกัด และไ่ม่ได้ขายทีแต่ได้กำไรมากๆ
การเอาสินค้าราคาแพง
ที่ใช้ส่วนลดใน LIVE ได้น้อย
มาฝากขายใน LIVE = โคตรไม่คุ้ม

เช่นของราคา 1500
ส่วนลดใน LIVE แค่ 100 บาท
มันจะไม่เร้าใจ

ถ้าเทียบกับสินค้าที่แม่บ้านซื้อ
เช่น น้ำมันพืช 300 ลด 120 บาท
มันเร้าใจกว่า

ลองคิดเล่นๆ ของ 1500 ลดสูงสุด 100
คำนวณแล้วลดแค่ 6.7%
(แต่คุณต้องจ่ายค่าจ้างขั้นต่ำ 7%)

เอาไปจ่ายเงินเข้าร้านโค้ดคุ้ม ลด 10-20%
เสียค่าโปรแกรมแค่ 4% เอง

[5]
อย่าโลกสวย!!
เพราะคนเอาไปขายส่วนใหญ่งานชุ่ย


คือ เอาสินค้าคุณไปปักตะกร้าให้ก็จริง
แต่ก็จะจ้างเด็ก หรือ
จ้างคนมานั่งเฝ้าหลังกล้องอีกที
(เพื่อไม่ให้ผิดกฎ เปิดวิดีโอวน มีแต่แท่นหมุน)

ซึ่งคนพวกนี้ไม่คุยอะไรทั้งนั้น
แค่นั่งเล่นมือถือ (โง่ๆ)
ดูทีวีเฉยๆ

หรือยังมีบ้างที่อัดวิดีโอแบบเนียนๆ
เปิดวน 12-24 ชั่วโมง
แค่สลับของบนแท่น
หรือสลับคนมานั่งเฉยๆต่อ

พูดง่ายๆไร้คุณภาพมากๆ

ถามว่ารู้ได้ไง?
เพราะมันมีระบบหลังบ้านดูได้ว่า
พาร์ทเนอร์คนที่ขายได้
เค้าขึ้น LIVE ประมาณไหน

จากตัวอย่างผมลองกดหลายๆคน
พบว่ามีสไตล์เดียวกัน คือ
ไม่นั่งโง่ๆ (แต่ได้เงิน)
ก็เปิดแท่นหมุน วิดีโอวนแบบเนียนหน่อย

คนบ้าอะไรวะ
ไม่เปลี่ยนเสื้อนั่งนิ่งๆหน้ากล้องได้ 25 ชั่วโมง

เข้าไปดูได้ในเมนูนี้ในหน้า Shopee Seller Centre ครับ

[6]
ถ้าสินค้าไม่ดัง
แล้วดันต้องอธิบายยากๆ
มักจะไม่มีนายหน้าคนไหน
อยากจะอธิบายให้ขนาดนั้น
ส่วนใหญ่เค้าจะไปปักตะกร้าที่
ร้านมีสต๊อกพร้อมส่ง เพราะได้เงินไว

หรือขายง่ายด้วย เช่น ของใช้ในบ้าน ของใช้ในครัว
หรือ ของที่คนซื้อเยอะ มีรีวิวเยอะ

[7]
การจ้างคน LIVE แบบง่ายๆนี้
ไม่ได้เป็นการเพิ่มคุณค่าให้แบรนด์คุณเลย

เพราะคนซื้อ ซื้อเพราะราคามันถูกต่างหาก

(ไม่งั้นจ้างคนมานั่งเฉยๆ เค้าจะขายได้ค่าคอมจากคุณได้ไง)

ถ้าอยากให้ขายได้ด้วย
และเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้าร้านคุณได้ด้วย
ไปเทรนพนักงานส่วนตัวมาขายเองดีกว่า


ส่วนตัวผมเปิดดูรายงานยิ่งช้ำใจ
กำไรก็มีจำกัด
แต่ต้องเสียค่าคอมให้กับใครก็ไม่รู้มานั่งว่างๆ

และสินค้าที่เค้าเอามาขาย
ก็ไม่เคยซื้อมาใช้เองด้วยซ้ำ

สินค้าผมที่จ่ายค่าคอมให้คนพวกนี้ไปทุกวัน
ไม่โดนขึ้นบนแท่นหมุน หรือ หยิบโชว์ได้เลย
เพราะคนพวกนี้ไม่ได้ลงทุนซื้อมาใช้แม้แต่ชิ้นเดียว 555

[8]
การที่สินค้จะขายได้ มันต้องอยู่ถูกที่ ถูกเวลา
คุณต้องเข้าใจว่า Shopee คือปลายทางที่คนสั่งซื้อ
(หลายโค้ชเรียกว่าแพลทฟอร์มเชิงรับ)

ฉะนั้นถ้าคุณอยากให้สินค้าขายดี
ต้องทำการตลาดนอก Platform ให้คนรู้จัก
และต้องทำให้ใน Platform เกิดยอดขาย
และเกิดยอดรีวิวในตัวสินค้ามากๆ

เพราะนอกจากจะทำให้คนซื้อตัดสินใจง่าย
ยังทำให้อินฟลูอยากปักตะกร้าด้วย (เพราะได้เงินง่าย)

[9]
แต่ถ้าอยากจะหาอินฟลูดีๆ
แต่ดันพลาดไปเปิดให้ค่าคอม 7% แล้วเหมือนผม 555

ลองใช้ระบบพาร์ทเนอร์หลังบ้าน
เข้าเมนู วิเคราะห์ข้อมูลพาร์ทเนอร์
(ที่พูดไปด้านบน)

แล้วลองเลือกทักไปหาคนที่เราหมายปอง
แล้วก็ตั้งให้ค่าคอมส่วนตัวไปเลยดีกว่า

(อันนี้เรียกว่าตั้งแคมเปญแบบเลือก KOL แล้วให้ค่าคอมส่วนตัวไปเลย)

เพราะถ้าคุณเปิดให้ทุกคนเข้าถึงได้
คุณก็จะได้ คนที่นั่งเฉยๆหน้ามือถือ
เปิดถาดหมุน ใส่ชุดนอน
แล้วคุณก็เสียค่าคอม
แบบไม่เกิด Value อะไรเลย

เอาไปทำอย่างอื่นดีกว่า
ให้ตายเถอะ
จบ

อ่านแล้วได้อะไร Comment Share ประสบการณ์ไว้ได้นะครับ :)หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับมือใหม่ครับ

สำหรับโพสนี้ สามารถตามไปอ่าน Comment เพื่อนๆทั้งหมดได้ที่นี่เลยครับ
https://www.facebook.com/share/p/yZqBkq9g2wgU9721/

อย่าลืมกดติดตาม Jade : เลือดสาดมาร์เก็ตติ้ง เพื่อไม่พลาดโพสถัดไปฮะ
เพจจริงต้องมีเครื่องหมายติ๊กถูกสีฟ้า

มีคำถามอะไรเพิ่ม ถ้าตอบได้จะตอบให้
Comment ไว้ได้เลยจ้ะ

Categories
Shopee Seller Note

หยุด LIVE ขายเถอะ! เพราะแค่ปีนี้ก็มีรายได้เกือบสิบล้านแล้ว

เพราะพอเป็นเรื่องคนอื่น
เรามักเสือกเก่งมากกว่าเรื่องตัวเอง

วันนี้ผมมีเรื่องเล่าจากคนใกล้ตัว
มาเล่าให้ฟังเป็นประสบการณ์ครับ

เผื่อใครเป็นพ่อค้าแม่ค้าที่ขายดีมากๆ
จะได้เพิ่มความระวังไว้เป็นอุทาหรณ์

[1]

มีนักเรียนที่เคยเรียนด้วยกันมานานมากแล้ว
ทักมาปรึกษาว่า

อ. ทำไงดีคะ มีรายได้เกิน 1.8 ล้าน โดยไม่รู้ตัว!!
และ พอไปปรึกษาบัญชีเค้าบอกว่า
จะต้องเสียค่าปรับเยอะมาก!


(เนื่องจากเป็นการเรียนออนไลน์)
(ที่ไม่ได้เป็นการเรียนแบบปรึกษาส่วนตัวแบบระบุเวลา Follow up)
(ผมจึงจะไม่ได้ติดตามผลงานอะไรหลังจากนั้น)

[2]

ผมตกใจเลยยกโทรศัพท์โทรหาเลย!

เค้าเปิดร้านไลฟ์ขายของใน Shopee
หมวดที่คนชอบขายกันเยอะๆ

จุดขายที่คนซื้อเพราะคนสามารถซื้อโดยใช้ Code
แล้วถูกกว่าราคาตลาดมากนั่นแหละ

เมื่อมันเป็นสินค้าซื้อง่าย ขายคล่อง
ขายใน Platform ที่คนเชื่อใจ
คนซื้อมักซื้อได้ในราคาต่ำกว่าทุน

เค้าเล่าให้ผมฟังว่า
บางวันนึงไลฟ์ไม่ถึงชั่วโมง
ก็ได้ออเดอร์หลักหลายร้อยบ้านเลย


ตรงนี้น่าอิจฉามาก…
สินค้าผมที่ขาย
ขนาด LIVE ช่วงแคมเปญขายดีสุด
LIVE เองหลายชั่วโมง
ยังไม่ถึงร้อยชิ้นเลย T_T

[3]

สินค้าที่ขายดีใน LIVE ส่วนใหญ่จะเป็นประเภท FMCG
หรือ ที่ย่อมากจาก Fast-moving consumer goods
คือ สินค้าที่จำหน่ายเร็ว ราคาไม่สูง ซื้อซ้ำได้บ่อย
จึงเป็นที่ถูกใจและนิยมในกลุ่มผู้ซื้อส่วนใหญ่เป็นอย่างมาก

แต่ต้องแลกมาด้วยการใช้เงินต่อเงิน
และสภาพคล่องในการเงินสูง
เพราะเวลาขายได้ ก็ไม่ได้เงินทันที
คือ ต้องมีช่วงรอเงินจากการขายเข้า

ช่วงรอส่งสินค้า
ช่วงรอลูกค้าได้ของ
ช่วงรอลูกค้ากดยืนยันรับสินค้า

แปลว่าถ้าลูกค้าไม่กดยืนยันรับของ
คนขายเงินก็จะถูกดองในระบบและเงินจะไม่กลับมาให้ใช้หลายวัน

(เกินสัปดาห์ก็มีให้เห็นบ่อยๆ)

และเนื่องจากสินค้าพวกนี้มีความต้องการสูง
การแข่งขันจึงสูงมาก

แปลว่านอกจากเรื่องราคา
เรื่องสต๊อกพร้อมส่งก็สำคัญไม่แพ้กัน

ใครมี Stock พร้อมส่ง
และส่งได้ไวก็เป็นอีกจุดนึงที่ต้องเฉือดเฉือนกัน

[4]

เนื่องจากความท้าทายที่เล่ามา
ของผู้ขายในสาย FMCG
นอกจากต้องตั้งราคาให้ไม่สูงกว่าคนอื่นมาก
(เพราะถ้าตั้งสูงก็กลัวขายไม่ได้)

ยังต้องมีพร้อมส่ง และส่งได้ไวด้วย
อีกทั้งยังต้องกังวลเรื่องเงินหมุน
ที่เข้ามาเท่าไหร่ ก็ออกไปเกือบหมด

ทำให้คนขายประเภทนี้
แทบไม่เคยดูรายได้กัน
และกว่าจะสังเกตอีกทีก็มักพบว่า
มีรายรับเยอะมากแล้ว

[5]

เคสนี้แย่หน่อยตรงที่ รู้ตัวช้า

เพราะ กว่าจะได้กดดูรายรับของฉัน
ยอดเข้าเกือบ 10 ล้านไปแล้ว
ซึ่งเกิน 1.8 ล้าน ไปหลายเดือนแล้วด้วย


เพิ่งรู้ว่าขายได้ยอดขายเยอะขนาดนี้
เพิ่งรู้ว่าเกิน 1.8 ล้านต้องเข้าระบบ VAT
เพิ่งรู้ว่าถ้าเข้าต้องเข้าภายในเดือนที่เกิน
เพิ่งรู้ว่าถ้าเข้าช้ากว่าเดือนนั้นๆ นอกจากจะต้องโดนปรับค่าภาษีขาย
ยังต้องโดนปรับค่าอื่นๆ อีกด้วย

[6] อ. มีวิธีไหนช่วย หรือมีบัญชีไหนช่วยได้ไหม?
คำตอบคือไม่มี

มันเป็นหน้าที่ที่เราต้องพึงระวังอยู่แล้ว
ไม่ใช่สักแต่ขาย ไม่ดูตัวเลข

แต่ส่วนตัวผมเข้าใจมากนะครับ
คนไม่เคยจด หจก. บจก. มาก่อน คิดว่ารายได้ไม่น่าถึง
เพราะเงินหมุนในบัญชีธนาคาร เข้ามาก็ออกไปเกือบหมด

วันๆ LIVE – แพ้ค – ขาย
วนลูปไปทุกวัน
ใครจะคิดว่าจะถึงหลายล้านบาทได้

[7]
ผมลองถามดูว่า
เก็บค่าใช้จ่ายทั้งหมดเป็นหลักฐานไว้ครบไหม
เช่น ใบเสร็จค่าสินค้า / ค่าขนส่ง / ค่าธรรมเนียม / ค่าใช้จ่ายต่างๆ

ได้รับคำตอบแบบหลายคน
ที่ไม่ได้เตรียมความพร้อมมาก่อนเลยว่า
ไม่มี หรือ ต่อให้มี ก็มีเก็บไว้ไม่ครบ


[8]

ที่งานเข้าคือตรงนี้
สมมุติรายได้ 10 ล้าน
ถ้าไม่มีค่าใช้จ่ายตามจริงตามที่ผมถามเมื่อกี้มาชี้แจงสรรพากร
ไม่ว่าจะเป็นใบเสร็จค่าสินค้า ค่าส่ง ค่าธรรมเนียม ไว้ครบๆ

เวลายื่นรายได้เสียภาษี
แบบที่จะทำให้เราเสียภาษีน้อยที่สุด
คือ หักค่าใช้จ่ายตามจริงที่เกิดขึ้น
คือเอาค่าใช้จ่ายที่มีหลักฐานทั้งหมดมาหักได้เลย


แต่ถ้าไม่มี หรือมีไม่ครบ
ส่วนใหญ่จะใช้เกณฑ์เหมาจ่าย
ตามเงื่อนไข เค้าให้หักรายได้แบบเหมาจ่าย
เป็นต้นทุนได้ 60%

ถ้าสรุปง่ายๆว่ายอดขาย 10 ล้าน
เค้าจะถือว่าเป็นต้นทุนทั้งหมด 6 ล้าน
คุณเหลือกำไร 4 ล้าน

และจะเอา 4 ล้านมาคิดภาษี ตามขั้นบันได
(ไม่รวมค่าปรับเงินเกิน ค่าภาษีขายที่ต้องถูกเก็บย้อนจากคนขาย)

ตรงนี้ด้วยความสงสัยมานาน
ผมเลยถามเบาๆ ว่า
“มันเป็นไปได้เหรอที่สินค้าพวกนี้”
“จะมีต้นทุน 60% หลังรวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ?”


“โห อาจารย์ แค่ค่าสินค้าก็เกือบ 80% ของรายได้แล้ว”
“ยังไม่รวมค่าธรรมเนียมอื่นๆอีกนะ”


ฉิบหายแล้วไง…

[9]
คำถาม ที่ผมอยากชวนทุกคนมาคิดก่อนอ่านต่อ
(เพราะเราเสือกเรื่องชาวบ้านมา 8 ข้อแล้ว ถ้าคุณไม่รู้ตัว)

คือ

แล้วเรากำไรซักกี่ % ของสินค้าพวกนี้
แล้วเรามีค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่มีที่มาที่ไปชี้แจงรายได้แบบหักตามจริงไหม?
ถ้าไม่มี เราคิดว่าทุกวันนี้เราตั้งราคาขาย พอเสียภาษีรึเปล่า?

[10]

เชื่อว่ามือใหม่หลายคน อาจคิดว่าขายยังไงให้ได้ก่อน
แต่พอขายแล้วก็เพลิน ไม่ได้ดูรายรับ

และ ช่วงเริ่มต้นก็ไม่คิดว่าจะขายดี
เลยไม่ได้เก็บหลักฐานค่าใช้จ่ายไว้

แต่ Shopee / Lazada / TikTok
ส่งรายได้ที่เราจ่ายให้ Platform ทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็นค่าธรรมเนียมการขาย
ค่าธรรมเนียมการชำระเงิน
ค่าธรรมเนียมอื่นๆ

ทำให้ต่อให้อยากหลบเลี่ยงรายได้ก็หลบไม่ได้
(และปีนี้เริ่มตรวจเข้มพิเศษด้วย)

[11]

เคสนี้จบที่ผมบอกว่า
ถ้าเป็นผมจะเลิกไลฟ์ เลิกขายเลย
(ทั้งๆที่วันที่คุยกันเป็นวัน 9.9 ขายดี)

เพราะดูจากค่าปรับที่ต้องเสีย
ผมว่าดีไม่ดี ที่ผ่านมาทั้งหมด

กำไรยังไม่พอค่าปรับเลย…

ฉะนั้นวันนี้ต่อให้ LIVE ต่อ
คุณก็เสียเวลาฟรี
เหนื่อยแรงแพ้คฟรี

ไปคุยกับสรรพากรให้เสร็จก่อน
แล้วขอคำปรึกษาตรงๆดีกว่า เพราะ … ยังไงก็ไม่รอด
บัญชีที่ไหนก็ช่วยไม่ได้ หลักฐานมันชัด

ส่วนตัว ผมว่า…
อย่าหาทางเล่นท่าพลิกแพลง
เพราะทุกท่าที่เราพยายามจะบิด ปิดบัง


สรรพากรเค้ารับมือคนอย่างพวกคุณมาทุกวัน
เค้าจะไม่รู้เหรอ ว่าใครกำลังโกหก
หรือใครพูดเรื่องจริง

และ เค้ายังพอช่วยอะไรได้บ้าง
กับคนที่มีเจตนาแบบไหนแต่แรก

[12]

สรุปว่าขายของอย่าขายเพลิน
ต้องคำนวณต้นทุน กำไรด้วย
ไม่งั้นจะกลายเป็น มดงานที่ทำให้แพลทฟอร์มได้กำไร
แต่คุณทำงานหนัก และโดนปรับจนขาดทุน

จนอาจต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า
แล้วที่ผ่านมา จะเหนื่อยไปมาทำไม

อ่านแล้วได้อะไร Comment Share ประสบการณ์ไว้ได้นะครับ 🙂
หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับมือใหม่ครับ

สำหรับโพสนี้ สามารถตามไปอ่าน Comment เพื่อนๆทั้งหมดได้ที่นี่เลยครับ
https://www.facebook.com/share/p/TfNU8ktzz1bXaZwX/

อย่าลืมกดติดตาม Jade : เลือดสาดมาร์เก็ตติ้ง เพื่อไม่พลาดโพสถัดไปฮะ
เพจจริงต้องมีเครื่องหมายติ๊กถูกสีฟ้า

มีคำถามอะไรเพิ่ม ถ้าตอบได้จะตอบให้
Comment ไว้ได้เลยจ้ะ

Categories
บทความ

สรุปวิธีเช็คสินค้าที่ส่วนตัวไม่แนะนำให้เป็นตัวแทนแบบสต็อกสินค้าขายเด็ดขาด (เสี่ยงเงินจม และ ได้ไม่คุ้มเสีย)

ผมเป็นคนนึงที่ตุนสต็อกแบบซื้อมาขายไป
เปิดบิลทุกครั้งหลักหลายหมื่น-แสนในหลายแบรนด์
และพบว่ามีสินค้าหลายตัว ที่เคยขายดี
แต่ปัจจุบันขายแทบไม่ได้ และ สินค้าจมสต็อกหลายบาท

ผมจึงหวังว่าประสบการณ์นี้
อาจช่วยให้เพื่อนๆเปิดมุมมองมากขึ้นนะครับ
เพราะยุคนี้เราสามารถลงทุนน้อย / ได้กำไรเทียบเท่ากัน
หรือมากกว่าได้โดยไม่ต้องตุนสินค้าให้เหนื่อย
เสียสุขภาพจิตเวลาขายไม่ได้
และมีความเสี่ยงน้อยลงด้วย

ถ้าพร้อมแล้วเรามาเริ่มกันเลยครับ

ข้อแนะนำสินค้าที่ควรเลี่ยง ไม่ควรตุนสต็อกเพื่อขาย

1. สินค้าที่มีแบรนด์เปิด Official Store ขายเองในทุก Platform
ไม่ว่าจะเป็น Shopee / Lazada / TikTok
จริงๆ ข้อนี้ปฏิเสธไม่ได้ในปัจจุบัน เพราะ
แทบทุกแบรนด์เปิดตัวมาขายเองในออนไลน์หมดแล้ว
การ Disrupt ของ Platform ที่ผ่านมา
ทั้งส่วนลดต่างๆ หรือ การทำโปรแรงๆของตัวแทน
ทำให้แบรนด์เห็นว่ายังมีเม็ดเงินรายได้ตรงนี้อยู่อีกมาก

จึงไม่แปลกถ้าอยากกระโดดมาตะครุบยอดเอง
เพราะส่วนใหญ่เสียค่าธรรมเนียมการขายน้อยกว่าส่วนลดให้ตัวแทนอีก

ถ้าแบรนด์ไหนทำครบหมดแล้ว
แปลว่าช่องทางที่คุณกำลังขาย
คุณกำลังแข่งขันกับแบรนด์ตรงๆ ในเวทีเดียวกันแล้ว

คุณจึงต้องตอบคำถามนี้ให้ได้ว่า
“ทำไมลูกค้าต้องซื้อกับคุณ แทนที่จะซื้อจากร้านค้าทางการ”

2. สินค้าที่แบรนด์ที่ไม่มีความตั้งใจที่จะควบคุมราคาให้มีความเสมอภาคในการขายบนช่องทางออนไลน์

ผมหมายถึง ไม่มีการควบคุมแบบเด็ดขาด
สำหรับส่วนลดเพิ่มเติม ที่ผู้ขายจะต้องออกส่วนลดเพิ่มให้ลูกค้าอีก

เช่น แบรนด์ให้ตั้งราคาขาย 399 บาท
แต่ร้านค้าที่ขาย ทำ Flash Sale เหลือ 379 บาท
หรือทำส่วนลดร้านค้าลดเพิ่มอีก 50 บาท

สุดท้ายลูกค้าซื้อร้านตัวแทน A เพียง 349 บาท
แต่คนอื่นขายที่ 399 บาท

การที่แบรนด์ไม่ใส่ใจ
จะเป็นการขายแบบไม่แคร์ตัวแทน
ที่กำลังทำยอดขายให้ก็จริง แต่ทำแบบพากันไปตายในอนาคต

แบรนด์ที่ดีต้องมีบทลงโทษร้านที่ทำผิดแบบชัดเจน
ไม่ใช่แบบขอไปที


หรือร้องเรียนไปแล้วบอกว่าดำเนินการให้ แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
(ถ่วงเวลาให้เราเสียเวลาตั้งความหวังลมๆแล้งๆ และตุนของต่อไป)

3. สินค้าที่แบรนด์ตั้งราคาขาย “เท่า” ตัวแทนจำหน่าย
จริงๆ การตั้งขายเท่ากันไม่ผิดครับ
แต่การขายของ Official Store แม้ว่าจะตั้งราคาขายเท่ากัน

จากประสบการณ์ส่วนตัวที่ผมทดสอบมาแล้ว
(เพราะผมมีทั้งร้านปกติ และ ร้านทางการในทุก Platform)

คนซื้อจำนวนมากเลือกร้านทางการมากกว่าร้านตัวแทนอยู่ดี

อาจเป็นเพราะ น่าเชื่อถือกว่า / ระยะเวลาการคืนสินค้าได้นานกว่า
(เมื่อคุณซื้อใน Shopee Mall / LazMall หรือ TikTok Shop Mall)

นั่นหมายถึงต่อให้คุณทำการตลาดลากเข้ามาใน Platform
คุณทำได้ แต่ต้องยอมรับว่า
มีคนซื้อบางกลุ่มที่คุณกำลังยิงโฆษณา และ ลากพวกเขาให้มาโดนแบรนด์ขายเอง

กำไรแทนที่จะได้เต็มๆ
คุณดันต้องเป็นคนจ่ายค่าการตลาดหนักๆ แทนแบรนด์ในส่วนนี้ด้วย

ส่วนตัวที่ผมทดสอบแล้วกับแคมเปญ 9.9 ที่ผ่านมา
ผมมีหลายร้านค้า แต่ละร้านใช้เครื่องมือการตลาดที่ต่างกัน

พบว่าร้าน Official Store
ยิง Ads น้อย แต่ ROAS สูงกว่าร้านปกติมาก
แม้ว่าจะตั้งราคาเท่ากันก็ตามที

4. สินค้าที่แบรนด์ที่มีการคุมราคาขายให้ตัวแทนจำหน่ายตั้ง
แต่ตัวแบรนด์เอง “ทำโปรทุกวัน” ให้ต่ำกว่าราคาที่ควบคุม

และอ้างว่าเป็นเพราะเข้าแคมเปญต่างๆของ Platform

ความจริงคือ ตั้งแต่ต้นทาง
แบรนด์สามารถควบคุมเองได้ว่า
จะเข้าแคมเปญไหน / จะเข้าร่วมไหม
และสามารถเลือกสินค้าทำโปรโมชั่นได้ตั้งแต่แรก

แบรนด์รู้ก่อนหน้าแคมเปญจะเริ่มอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์
ว่าราคาสุดท้ายในแคมเปญจะเป็นเท่าไหร่
ก่อนที่แคมเปญใหญ่ๆ จะเริ่มขึ้นจริง

ถ้าแบรนด์ไหนอ้างว่า เพราะเข้าแคมเปญ
หรือมีทีมงานเอาสินค้าไปเข้า แล้วทำอะไรไม่ได้แล้ว
อ้างแบบนี้เรื่อยๆ

แปลว่า
เค้าไม่ได้ต้องการอะไรจากคุณตั้งแต่แรก
แต่เค้ากำลังจะฮุบยอดขายจากคุณครับ

5. สินค้าแบรนด์ที่มีการจ้างทีมงาน LIVE STREAM เอง
และมีการจัดโปรโมชั่นนาทีทอง หรือ
ราคาพิเศษตลอด LIVE STREAM แบบต่อเนื่อง
ก็พูดง่ายๆ คือ ตั้งราคาแบบลดแล้วลดอีกนั่นแหละฮะ

ลูกค้าได้ทั้งความน่าเชื่อถือจากแบรนด์
และได้ราคาพิเศษ

คุณต้องถามว่า คุณเองจะเอาอะไรไปสู้?
ไป LIVE แข่งกับเค้าไหวไหม?
หรือ จะไปจัดโปรนาทีทองเพื่อตัดกำไรตัวเองสู้ล่ะ?

6. สินค้าแบรนด์ที่มีทีมงานพร้อม
มีวินัยและมีแบบแผนการลุยออนไลน์ชัด
เช่น นอกจาก LIVE แบบสม่ำเสมอแล้ว
ยังทำ VDO สั้น ลง Social Media เช่น TikTok Shopee ทุกวัน

นั่นหมายถึง แบรนด์ได้สร้างการรับรู้ต่อเนื่อง
และยิ่งทำทั้ง LIVE + VDO ต่อแบบมีวินัย มีเป้าหมาย
ใน TikTok หรือ Shopee ก็ถือว่าเป็นการทำภารกิจไปในตัว

เพราะเป็นสิ่งที่ Platform ต้องการผลักดันอยู่แล้ว
เมื่อทำภารกิจมากตามที่ Platform ต้องการ

Platform จะตอบแทนโดยการเอื้อโค้ดส่วนลดเพิ่มให้ผู้ขายประเภทนี้อีก

แปลว่า ถ้าคุณไม่ขยันเท่าเขา , มีทีมงานทำแทน หรือ ขยันได้มากกว่า
สุดท้ายคุณก็อาจแพ้อยู่ดี

7. สินค้าแบรนด์ที่เมื่อคุณเช็คราคาโปรโมชั่นวันแคมเปญ
ลูกค้าปลีกสามารถซื้อสินค้าได้ถูกกว่าราคาส่งที่คุณซื้อ

8. สรุป ถ้าหากคุณเป็นตัวแทน
และมีแบรนด์ทำลักษณะแบบที่ผมเล่ามา

คุณจะมีสถานะเป็น “คู่แข่ง” ไม่ใช่ “พันธมิตร”
(แม้ว่าคุณจะมีสถานะเป็นตัวแทนจำหน่าย)

แต่ถ้าคุณปล่อยวางสินค้าเหล่านี้ลง
แล้วเลือกเป็น นายหน้าปักตะกร้าแทน

คุณจะมีสถานะเป็น “พันธมิตรชั่วคราว” ที่ไม่ใช่ “คู่แข่ง”

คำว่าชั่วคราวหมายถึง
คนที่มีสถานะเป็นนายหน้านั่นเองครับ

เรื่องจริง คือ
นายหน้าก็มีโอกาสถูกใช้แล้วทิ้งในอนาคตเหมือนกัน

คือพอแบรนด์ติดตลาด
ก็มักลดค่าคอม ค่านายหน้า
หรือ ยกเลิกค่าคอม ค่านายหน้าไปเลยก็มี

แต่อย่างน้อยมันก็ยังดีกว่าเป็นคู่แข่งตรงๆ
ต้องลงทุนสต๊อกสินค้า ทั้งที่ไม่รู้จะขายได้ไหม

ถ้าสินค้าที่คุณจะขาย ยังทำแบบนี้
คนตัวเล็กๆ ถ้าไม่มีตลาดของตัวเอง หรือช่องทางที่แบรนด์เข้าไม่ถึง
สู้ไปก็แพ้อยู่ดี

ความเห็นส่วนตัวของผมคือ
ลองใช้เวลาที่เท่ากัน ไปหาสินค้าที่สร้างรายได้ กำไรที่ดีกว่าดีกว่าครับ

สำหรับโพสนี้ สามารถตามไปอ่าน Comment เพื่อนๆทั้งหมดได้ที่นี่เลยครับ
https://www.facebook.com/share/p/PC3qX3iCf99BHmho/

อย่าลืมกดติดตาม Jade : เลือดสาดมาร์เก็ตติ้ง เพื่อไม่พลาดโพสถัดไปฮะ
เพจจริงต้องมีเครื่องหมายติ๊กถูกสีฟ้า

มีคำถามอะไรเพิ่ม ถ้าตอบได้จะตอบให้
Comment ไว้ได้เลยจ้ะ

Categories
บทความ

ถ้าย้อนวัยไปได้ซัก 10 ปี วันนี้ผมจะเป็นนายหน้าเต็มตัว

1. เริ่มได้โดยใช้เงินลงทุนน้อย

ตัวผมเองมีสินค้าในสต๊อกหลายล้านบาท
แต่ไม่ได้แปลว่าคนที่มีสินค้าในสต๊อกหลายล้านบาท
จะต้องได้กำไรเดือนนึงหลายแสน – หลายล้านบาทตาม


ผมเห็นหลายต่อหลายท่าน
ร่ำรวยจากการเป็นนายหน้า
และมีรายได้ตั้งแต่หลักพัน – หลักแสนบาท
(หลักล้านก็มีฮะ ตัวท๊อปๆ)

ซึ่งการที่จะได้กำไรเยอะๆ ไม่ได้ผันแปรว่า
คุณจะต้องมีเงินถุงเงินถังสต๊อกสินค้าในโกดัง

แต่รายได้พวกนี้
จะมากขึ้นตามความสามารถที่แท้จริงที่คุณมี

2. ได้หาสิ่งที่ชอบจริงๆ ถ้ายังไม่ชอบก็เปลี่ยนไปมาได้
ถ้าสมัยก่อนจะต้องมีคนถามว่า
อยากเปิดร้านขายของ แต่ไม่รู้จะขายอะไรดี?

จะเปิดร้านก็กังวลเรื่องทุนจม
ไม่รู้เปิดร้านแล้วทำเลดีไหม
ความเสี่ยงมันเยอะไปหมด

แต่สมัยนี้สั้นกว่า เพราะ
คุณตัดประโยคแรกออกไปได้เลย
“เหลือแค่คำว่าจะขายอะไรดีพอ”

คุณอาจได้ลองเริ่มจากของใกล้ตัวจริงๆก็ได้
เคยเห็นคนขายอุปกรณ์ของใช้ในบ้าน
อุปกรณ์แต่งสวน อุปกรณ์ตกแต่งบ้านไหม?

หลายๆโพส หลายๆคลิปมักพูดแบบนี้
เริ่มจากสิ่งใกล้ตัวก่อน

แล้วลองเล่าดูว่าทำไมคุณถึงใช้มัน
คุณจะได้เรียนรู้ว่า
ถ้าเป็นของที่คุณใช้ ชอบ และ อิน
มันจะเริ่มต้นง่ายมากเลย

3. ไม่ต้องยึดติดกับสินค้าตัวเดียว
พ่อค้าส่วนใหญ่มักตายตรงนี้
เพราะ ถ้าลงทุนกับสินค้าตัวไหนไปแล้ว
อยากได้ราคาถูก ต้นทุนถูก ก็ต้องตุนมากๆ
แต่พอตุนมากๆ แล้วระบายสต๊อกไม่ทัน

หรือมีสินค้าตัวใหม่ออกมา
สิ่งที่ทำได้ก็คือรีบหาทางแก้เกม เช่น ลดราคาหนี
คนที่มีสินค้าอยู่ในมือ คือ ลงทุนไปแล้ว
“แพ้ไม่ได้”
เพราะถ้าแพ้ก็ขาดทุน
!!

แต่ถ้าเราเป็นนายหน้า
ถ้ายอดขายไม่ดี เราดูทรงแล้วว่ามีอย่างอื่นดีกว่า
เราก็พร้อมเปลี่ยนไปทดลองสินค้าใหม่ได้ทันที
โดยไม่ต้องมีอะไรยึดติด
และตามกระแสผู้บริโภคทัน
และได้เข้าใจผู้บริโภคตัวจริงด้วย

4. ได้สร้าง Online Asset
เหมือนลงทุนอสังหาออนไลน์ให้ตัวเอง
ต่อยอดเพิ่มได้ในอนาคต

คำว่า Asset ในที่นี้ผมหมายถึง
(ผู้ติดตาม / ช่อง) ที่เกิดปฏิสัมพันธ์
กับกลุ่มลูกค้าตัวจริงในอนาคต

เช่น คุณสร้างช่องที่แม่บ้านเม้ามอยให้ฟัง
หรือสร้างช่องที่แม่เล่าเรื่องลูกให้ฟัง
(ลองนึกถึง แม่ตุ๊ก Little Monster)

คุณจะเริ่มสะสมฐานคนที่ใกล้เคียงกัน
เค้าจะเข้าใจว่า ช่องนี้แม่เข้าใจหัวอกแม่เหมือนกัน
แนะนำแต่สิ่งดีๆให้แม่เหมือนกัน

อนาคตเป็นไปได้ไหมว่า…
คุณจะได้มีสินค้า / พาร์ทเนอร์วิ่งเข้าหา
อยากให้คุณพูดถึง

เป็นไปได้ไหมว่า…
มีคนเชื่อใจคุณมากๆ
จนกระทั่งวันนึง คุณออกแบรนด์ตัวเองออกมา
ก็มีฐานแฟนรอซื้ออยู่แล้ว

มันคือการลงทุนเพื่ออนาคตครับ!!

5. ได้หาประสบการณ์จากการทดลองลงมือทำ

เพราะไม่เคยมีใครรวยจากการนั่งคิด
แต่มีหลายคนรวยจากการทำและมีวินัยในการทำ

คุณจะได้ทดลองการป้ายยาที่หลากหลาย
แม้ว่าโชคร้ายจะขายไม่ได้เลย
สิ่งที่ขาดทุนมากที่สุด
คือ ตัวอย่างที่คุณซื้อมา 1 ชิ้น

แต่สิ่งที่โชคดีที่สุด คือ
การได้ทดลองลงมือทำ
เอาชนะใจตัวเองและได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์

และถ้าโชคดี
คลิปหรือ Content เกิดแมส
คุณก็จะได้กำไรไม่รู้ตั้งกี่เท่า

ต่อให้วันนั้นคุณจะโดนเจ้าของถอดค่าคอม
แต่ถ้าคุณยังไม่หยุดทำ
คลิปอื่นๆในช่องก็จะวิ่งเข้าใส่ลูกตาของคนที่ติดตาม
หรือดูคลิป หรือ content คุณนานอยู่ดี

แต่นั่นแหละ
ไม่ใช่ทุกคนทำแล้วจะปัง
แต่คนปังส่วนใหญ่มีประสบการณ์ที่มากพอ

6. มีโอกาสได้เรียนรู้ผลิตภัณฑ์ต่างๆในวงการเดียวกัน

การที่คุณจะออกสินค้าของคุณ
แล้วบอกว่าดีกว่าคนอื่น
คนจะไม่เชื่อคุณทันที
โดยเฉพาะหากคุณไม่มีประสบการณ์
หรือข้อมูลบางอย่างมาก่อน

ยกตัวอย่าง ถ้าคุณกำลังจะออกรถ
คุณคงไม่เชื่อเซลส์ขายรถที่รู้แต่รถ MG

แต่คุณอาจจะเชื่อคนที่ขายรถอีกคนหนึ่ง
ที่มีประสบการณ์หลากหลายในหลายแบรนด์
และสามารถบอกจุดเด่น
จุดด้อยแต่ละอย่างได้อย่างตรงไปตรงมา

7. มีโอกาสได้ฟังเสียงว่าที่ลูกค้าในอนาคต

ก่อนที่ตัวเองจะออกแบรนด์หรือสินค้าตัวเอง
จากข้อที่แล้ว เมื่อคุณเป็นกลางมากพอ
และไม่มีความจำเป็นต้องอวยให้แบรนด์ใดเป็นพิเศษ

คุณจะเป็นคนที่ดูน่าเชื่อถือ
คุณจะเป็นคนที่ผู้ติดตามไว้ใจ
มากกว่าคนขาย ที่คนทั่วไปจะมองว่า
“เพราะมันเป็นคนขาย มันเลยอวยว่าของตัวเองดีที่สุด”

ความระแวง เคลือบแคลงใจมันแตกต่างกัน

8. ได้อยู่ข้างผู้ชนะ

เวลาอินฟลูเลือกตะกร้า
มักจะเลือกจากแบรนด์ที่ ร้านสร้างความไว้วางใจมาแล้ว
สินค้าต้องดีในระดับนึง คนถึงพึงพอใจที่จะจ่ายแล้ว
ตรงส่วนนี้ คุณเป็นผู้เลือก
ไม่ใช่เป็นผู้สร้างตั้งแต่ศูนย์

ฉะนั้น
นายหน้าส่วนใหญ่มักเลือก
สินค้าดี ร้านค้าเด่น มีรีวิวปัง

คุณคงไม่เลือกร้านค้าที่ขายไม่ดี
แบรนด์ที่ขายไม่ดีถูกไหม?

และ เมื่อสินค้าถูกพูดถึงในแง่ดี
คุณเป็นอีกคนนึงที่พูดถึงในแง่นั้นๆด้วย

มันก็เหมือนกับ
คุณเป็นพวกเดียวกันกับสิ่งที่เขาคิด
ทำให้คุณเป็นพันธมิตรกับผู้ชนะเสมอ

9. ไม่ต้องปวดหัวเรื่อง สต๊อก บัญชี ภาษี

ไหนจะต้องมองสินค้า มองตลาดให้ขาด
ไหนจะต้องกังวลเรื่องเงิน Cash Flow
ไหนจะต้องคาดเดากับสิ่งที่มองไม่เห็นในอนาคต
ไหนจะต้องพร้อมรับมือกับคู่แข่ง แบรนด์อื่นๆ ที่คาดเดาไม่ได้

เคยได้ยินเจ้าของแบรนด์บางคนที่ทุนจมไหม?
สั่งสต๊อกเพิ่ม แต่ขายออกไม่ดีเหมือนที่ผ่านมา
เจ๊งไปอีก

และไหนจะต้องปวดหัวเรื่องบัญชี ภาษี อีก
(มันไม่ได้ยากเกินความสามารถหรอก)
(แต่มันใช้เวลานาน ที่มือใหม่จะเรียนรู้)

10. ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าธรรมเนียมขึ้นเมื่อไหร่
(แต่กังวลว่าค่าคอมจะลดเมื่อไหร่แทน 555)

ผมเชื่อนะครับว่า
ตราบใดที่ตลาดมีความต้องการ
ตราบใดที่ยังมีสินค้า บริการ แบรนด์ที่เกิดใหม่
ยังไงการที่มีคนพูดแทนแบรนด์ หรือ สินค้าก็ยังจำเป็น

แม้ว่าวันนึงสินค้าที่คุณเคยทำ
เค้าจะลด หรือ ตัดค่าคอมมิชชั่นคุณไปแล้วก็ตาม

แต่… คุณเคยได้ยินประโยคนี้ไหม

นกที่นั่งอยู่บนต้นไม้ไม่เคยกลัวกิ่งไม้หัก
เพราะนกไม่ได้ไว้ใจกิ่งไม้แต่แรก
แต่มันมั่นใจในปีกตัวเอง

ถ้าคุณเป็นคนเก่ง
ต่อให้สินค้าที่คุณพักพิงวันนึงจะหายไป
แต่ถ้าปีกคุณแข็งแรงมากพอ
เวลานั้นคุณจะบินไปไหนก็ได้

11. คุณเป็นเจ้าของเวลา
หลายๆคน เข้างาน เลิกงานตามเวลา
แต่คนเหล่านี้ ควบคุมเวลาในการทำงานได้ด้วยตัวเอง

วันเสาร์ อาทิตย์
คนส่วนใหญ่มีวันหยุดแค่นี้
แต่วันเหล่านี้
อาจเป็นวันที่คุณเลือกนอนอยู่บ้าน
วันธรรมดา
เป็นวันที่คนทั่วไปไปไหนไม่ได้
และร้านมักจัดโปรลดราคา
แต่คุณสามารถเริงร่าในเวลาเหล่านี้ได้แทน 555

12. สรุป สิ่งที่คุณได้คือ
– ได้ลองค้นหาสิ่งที่ชอบ และไม่ชอบ
– ได้มีปฎิสัมพันธ์กับคนที่ชอบเรื่องเดียวกัน
– ได้สร้าง Online Asset ระหว่างการเดินทาง
– ได้สร้างสิ่งเหล่านี้โดยไม่ต้องใช้ทีมงานมากๆ
– ได้มีเวลาเป็นของตัวเอง
– ได้รายได้ที่ขึ้นสุด ลงสุดได้ตามความสามารถที่มี
– ได้รู้ว่าผลงานที่ทำไปทับซ้อนเป็นแต้มบุญได้

สิ่งที่ผมโพสทั้งหมดนี้
เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัว
ที่ผมเล่าให้ลูกฟัง 555

“วันไหนป๊าเหนื่อย ป๊าจะหนีไปเป็นอินฟลู”
“ตื่นมาไปส่งลูก แรดนอกบ้านทำสิ่งที่ชอบรอ”
“แล้วก็ไปรับลูกกลับบ้าน”
“หนูคิดว่ายังไง?”

“ก็ดีสิป๊า” 555

ปล. สุดท้ายทุกอาชีพก็มีง่าย-ยาก
ดี-เสีย แตกต่างกันไปแหละ
ชื่นชมทุกท่าน ที่หาเส้นทางตัวเองเจอฮะ ^^

สำหรับโพสนี้ สามารถตามไปอ่าน Comment เพื่อนๆทั้งหมดได้ที่นี่เลยครับ
https://web.facebook.com/share/p/pMpXqRxyPMFTLiFx/

อย่าลืมกดติดตาม Jade : เลือดสาดมาร์เก็ตติ้ง เพื่อไม่พลาดโพสถัดไปฮะ
เพจจริงต้องมีเครื่องหมายติ๊กถูกสีฟ้า

มีคำถามอะไรเพิ่ม ถ้าตอบได้จะตอบให้
Comment ไว้ได้เลยจ้ะ

Categories
Shopee Seller Note

กำไรก็ไม่ค่อยมี ยังเสือกขายแล้วขาดทุน!! และนี่คือสาเหตุที่มือใหม่ขายใน Shopee แล้วเจ๊งโดยไม่รู้ตัว

นี่คือวิธีขายใน Shopee แบบพลีชีพ ทำการกุศล ไม่เอากำไร ทำเพื่อ Platform ที่คุณคงไม่อยากทำกุศลแบบนี้กันหรอกมั้ง 555

หลายๆคนที่เป็นมือใหม่หัดขายสินค้าบน Shopee มักจะมีปัญหาที่ว่า ไม่นึกว่า Platform จะคิดค่าธรรมเนียมในการขายแพงขนาดนี้

แต่ใช่ครับมันแพงขนาดที่ว่าคิดคุณได้สูงสุดเกิน 20% เลยครับ และแต่ละคนอาจโดนคิดไม่เท่ากันด้วย!!

ใครเป็นมือใหม่แนะนำอ่านให้จบ และพยายามใช้โควต้าในการอ่านหน่อย ก่อนจะขาดทุน (อ่านยาวๆไม่ไหวก็เซฟหรือแชร์เก็บไว้)

คุณกำลังทำเพื่อตัวเองจะได้ไม่ต้องขาดทุน ไม่ใช่เพื่อผม!!

ผมเชื่อว่าเคสนี้คงเป็นเคสที่ดี และ ไหนๆจะอธิบายแล้วจึงขออนุญาตยกมาทำบทความเลยแล้วกัน หลายๆคนจะได้ประโยชน์

ขายของบน Shopee ตอนนี้ คิดเงินคนขายยังไง?
(อัพเดทล่าสุดปี 2024)

เวลาเราลงราคาสินค้าเพื่อจำหน่าย ในที่นี้ ราคาที่เราตั้งขายตามตัวอย่างเช่น 2000 บาท เราจะโดนหักค่าอะไรบ้าง

1. ค่าโค้ดส่วนลดของคนขายที่ตั้งเอง คือ พวกโค้ดส่วนลดที่เราตั้งไว้ให้ลูกค้าใช้ เช่น ซื้อครบ 500 บาท คนขายลดให้ 10 บาท อันนี้เราตั้งโปรโมชั่นเองต้องออกเองอยู่แล้ว

2. ค่าธรรมเนียมและค่าบริการ ตรงนี้ แต่ละร้านจะโดนคิดไม่เท่ากัน และส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วย 3 ค่า หลักๆ

2.1 ค่าธรรมเนียมในการขายของ Shopee ถ้าเป็นร้านค้าทั่วไป (ไม่ใช่ Shopee Mall) ตอนนี้จะโดนคิดเรทอยู่ที่ 7.49% สำหรับสินค้าทั่วไป และ 8.56% สำหรับสินค้าแฟชั่น
(ถ้าเปิดร้าน Mall แพงกว่านี้อีกครับ…)

คำว่าค่าธรรมเนียมในการขาย เปรียบง่ายๆ เหมือนค่าเช่าสถานที่ห้างร้านนั่นเอง คือ คุณขายใน Shopee และใช้ Platform และ ระบบของเขา คุณก็จะจ่ายต่อเมื่อขายสินค้าได้

ซึ่งไม่ต้องกังวลครับ เพราะ คนขายทุกคนเสียหมด
(และแพลทฟอร์มขยับขึ้นปีละ 2 ครั้งเป็นอย่างน้อย)

2.2 ค่าธรรมเนียมในการชำระเงิน สำหรับการรับชำระเงินจากคนซื้อ ไม่ว่าจะชำระผ่านวิธีใดก็ตาม (เก็บปลายทาง / QR / บัตรเครดิต) จะอยู่ที่ 3.21%

2.3 ที่โดนกันหนักสุดๆ คือ ค่าโปรแกรมส่งเสริมการขายของ Shopee ที่โดนเก็บได้สูงสุดเป็น 10.7% (ถ้าเข้าร่วมทุกโปรแกรมส่งเสริมการขาย)

โปรแกรมส่งเสริมการขายมีอะไรบ้าง แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าร้านเข้าร่วมรึเปล่า? วิธีง่ายๆ ที่สุด คือ ดู Tag ป้ายสีเขียว / เหลือง ใต้สินค้าครับ

เห็นป้ายสีเขียวที่เขียนว่า ส่งฟรี* ร้านโค้ดคุ้ม กับ ป้ายสีเหลือง ส่วนลดร้านโค้ดคุ้มไหมครับ

ป้ายพวกนี้แหละครับที่ทำให้เราจ่ายแพง!! (แต่ลูกค้าร้านเราจะใช้โค้ดส่งฟรี / ส่วนลดต่างๆของ Platform ได้ ทำให้เวลาซื้อรู้สึกราคาถูก ซื้อง่ายขึ้น)

ถามว่าเข้าร่วมแล้วจ่ายเท่าไหร่ อัพเดทล่าสุดคือตามตารางนี้ครับ
(ค่าบริการของ Shopee มักจะยังไม่รวม VAT 7% ฉะนั้นเวลาเราดูค่าบริการต้อง x 7% เข้าไปด้วยนะครับ)

ในกรณีนี้ร้านของน้องที่ทักมาสอบถาม เข้าทั้งสองป้าย คือ ป้ายเขียว และ เหลือง ก็โดนไปเต็มๆ ที่ 7.49% สูงสุด 300 บาท ต่อชิ้น

ลองสรุปเล่นๆ ว่าตอนนี้น้องคนนี้ เสียค่าใช้จ่ายพื้นฐานไปแล้วตามนี้

ค่าธรรมเนียมการขาย (สินค้าประเภททั่วไป) 7.49%
ค่าธรรมเนียมการชำระ 3.21%
ค่าธรรมเนียมป้ายเขียวและเหลือง 7.49%
รวมทั้งสิ้นตอนนี้ถ้าขายได้อย่างน้อยก็ต้องเสีย 18.19% แล้วครับ!!

แต่พอดีเฉพาะช่วงนี้ Shopee บอกว่า ถ้าเข้าร่วมโปรแกรมป้ายเขียว หรือ ป้ายเหลือง เค้าจะมีส่วนลดค่าธรรมเนียมการขายให้อีก 2.14%
(ซึ่งไม่รู้จะยกเลิกเมื่อไหร่…)

แล้วยังไม่พอ หากเราไม่รู้อะไร กดเข้าร่วมทุกโปรแกรมส่งเสริมการขายไปเรื่อย Shopee ก็จะมีโปรแกรมแจกโค้ดลดเพิ่มใน LIVE สำหรับร้านพิเศษที่เข้าร่วมโปรแกรมที่ชื่อว่า LiveXtra

ซึ่งร้านไหนที่เข้าร่วม ลูกค้าจะใช้โค้ดที่ลดเพิ่มเป็นพิเศษที่ออกโดย Shopee ได้ แต่แลกกับการที่คุณจะต้องโดน Platform เรียกเก็บอีกเป็นอัตรา 2.14-3.21% ตามรายละเอียดที่ Platform กำหนด

สมมุติว่าน้องเค้าเข้าร่วมทุกอย่างเลย
แปลว่าน้องเค้าจะเสียจาก 18.19 – 2.14% + 2.14% = 18.19% จากยอดขาย ที่หักส่วนลดของร้านค้าที่ออกให้ผู้ซื้อ และ ที่พีคไปกว่านั้นและเงินน้องหายไปเยอะเพราะ…

ดันไปตั้งออกค่าส่งให้คนซื้อโดยไม่รู้ตัวไปอีกกกกก

ทำให้ค่าส่งเท่าไหร่ร้านค้าเป็นคนออกหมดเลย เพราะ ระบบเอาค่าส่งมาหักจากร้านตัวเองอีกด้วย เป็นเงิน 195 บาท…

สรุปที่ร้านน้องโดนก็คือ
ค่าสินค้า (ที่ตั้งใจตั้งขาย) = 2000 บาท
หักค่าส่งที่คนขายออกให้ (โดยไม่ตั้งใจ) = -195 บาท
หักค่าโค้ดส่วนลดที่ร้านตั้งให้ลูกค้าเอง = -10 บาท
หักค่าธรรมเนียมต่างๆ อีกประมาณ 18.19% จากยอดหักลบด้านบน (1795) = ~327 บาท

(ที่ตัวเลขไม่เป้ะ ตรงนี้ผมไม่ทราบว่าสุดท้ายน้องเค้าเข้าร่วมโปรแกรมอะไรบ้าง หรือยังอยู่ในเงื่อนไขส่วนลดโปรแกรมเสริมอะไรเพิ่มเติมไหม)

ส่วนใครอยากรู้ว่าผู้ซื้อ กดชำระมาใช้ส่วนลดร้านค้า หรือ Shopee แบบไหนบ้าง กดตรงคำว่า การชำระเงินของผู้ซื้อเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติม จะมีระบุว่าคนซื้อใช้ส่วนลดอะไรมาบ้าง

กดแล้วจะเห็นประมาณนี้ (อันนี้ตัวอย่างของคำสั่งซื้ออื่นนะครับ)

แล้วจะยกเลิกการออกค่าส่งให้คนซื้อได้ไงอ่ะ?

กดเข้าไปที่สินค้าตัวนั้นๆ แล้วตรวจสอบดูว่า ได้เผลือเลือกครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการจัดส่งไว้รึเปล่า

ถ้าเผลอกดเปิด ให้กดปิด (เป็นสีเทาตามภาพ)

สรุปทำไมขาย Shopee แล้วขายได้ แต่ไม่เหลือกำไร?

  1. ไม่เข้าใจว่าค่าธรรมเนียมตอนนี้คิดเท่าไหร่ เลยทำให้ตั้งราคาขายได้ไม่เหมาะสมอาจขาดทุน หรือ กำไรน้อยมาก ไม่คุ้มเหนื่อย
  2. ไม่รู้ว่าเข้าโปรแกรมเสริมนู่นนี่ไปเสียอีกเท่าไหร่ จำเป็นมั้ยกับการที่ต้องเข้าร่วมทุกโปรแกรม ทั้ง ส่งฟรี โค้ดลด และ Live โค้ดโหด
  3. เผลอเปิดครอบคลุมไปออกค่าส่งให้คนซื้อ ทั้งๆที่จริงๆ ควรโยนเป็นภาระของคนซื้อดีกว่า (แถมคุณก็เข้าร่วมโปรแกรมส่งฟรีร้านโค้ดคุ้มอยู่แล้ว ลูกค้าเก็บโค้ดส่งฟรีใช้เองได้น่ะแหละ)

ลองไปตรวจเช็คดูนะครับหวังว่าจะเป็นประโยชน์!

สำหรับโพสนี้ สามารถตามไปอ่าน Comment เพื่อนๆทั้งหมดได้ที่นี่เลยครับ
https://www.facebook.com/share/p/gjBe3E4jEdvfLnqm/

อย่าลืมกดติดตาม Jade : เลือดสาดมาร์เก็ตติ้ง เพื่อไม่พลาดโพสถัดไปฮะ
เพจจริงต้องมีเครื่องหมายติ๊กถูกสีฟ้า

มีคำถามอะไรเพิ่ม ถ้าตอบได้จะตอบให้
Comment ไว้ได้เลยจ้ะ