Categories
บทความ

สรุปวิธีเช็คสินค้าที่ส่วนตัวไม่แนะนำให้เป็นตัวแทนแบบสต็อกสินค้าขายเด็ดขาด (เสี่ยงเงินจม และ ได้ไม่คุ้มเสีย)

ผมเป็นคนนึงที่ตุนสต็อกแบบซื้อมาขายไป
เปิดบิลทุกครั้งหลักหลายหมื่น-แสนในหลายแบรนด์
และพบว่ามีสินค้าหลายตัว ที่เคยขายดี
แต่ปัจจุบันขายแทบไม่ได้ และ สินค้าจมสต็อกหลายบาท

ผมจึงหวังว่าประสบการณ์นี้
อาจช่วยให้เพื่อนๆเปิดมุมมองมากขึ้นนะครับ
เพราะยุคนี้เราสามารถลงทุนน้อย / ได้กำไรเทียบเท่ากัน
หรือมากกว่าได้โดยไม่ต้องตุนสินค้าให้เหนื่อย
เสียสุขภาพจิตเวลาขายไม่ได้
และมีความเสี่ยงน้อยลงด้วย

ถ้าพร้อมแล้วเรามาเริ่มกันเลยครับ

ข้อแนะนำสินค้าที่ควรเลี่ยง ไม่ควรตุนสต็อกเพื่อขาย

1. สินค้าที่มีแบรนด์เปิด Official Store ขายเองในทุก Platform
ไม่ว่าจะเป็น Shopee / Lazada / TikTok
จริงๆ ข้อนี้ปฏิเสธไม่ได้ในปัจจุบัน เพราะ
แทบทุกแบรนด์เปิดตัวมาขายเองในออนไลน์หมดแล้ว
การ Disrupt ของ Platform ที่ผ่านมา
ทั้งส่วนลดต่างๆ หรือ การทำโปรแรงๆของตัวแทน
ทำให้แบรนด์เห็นว่ายังมีเม็ดเงินรายได้ตรงนี้อยู่อีกมาก

จึงไม่แปลกถ้าอยากกระโดดมาตะครุบยอดเอง
เพราะส่วนใหญ่เสียค่าธรรมเนียมการขายน้อยกว่าส่วนลดให้ตัวแทนอีก

ถ้าแบรนด์ไหนทำครบหมดแล้ว
แปลว่าช่องทางที่คุณกำลังขาย
คุณกำลังแข่งขันกับแบรนด์ตรงๆ ในเวทีเดียวกันแล้ว

คุณจึงต้องตอบคำถามนี้ให้ได้ว่า
“ทำไมลูกค้าต้องซื้อกับคุณ แทนที่จะซื้อจากร้านค้าทางการ”

2. สินค้าที่แบรนด์ที่ไม่มีความตั้งใจที่จะควบคุมราคาให้มีความเสมอภาคในการขายบนช่องทางออนไลน์

ผมหมายถึง ไม่มีการควบคุมแบบเด็ดขาด
สำหรับส่วนลดเพิ่มเติม ที่ผู้ขายจะต้องออกส่วนลดเพิ่มให้ลูกค้าอีก

เช่น แบรนด์ให้ตั้งราคาขาย 399 บาท
แต่ร้านค้าที่ขาย ทำ Flash Sale เหลือ 379 บาท
หรือทำส่วนลดร้านค้าลดเพิ่มอีก 50 บาท

สุดท้ายลูกค้าซื้อร้านตัวแทน A เพียง 349 บาท
แต่คนอื่นขายที่ 399 บาท

การที่แบรนด์ไม่ใส่ใจ
จะเป็นการขายแบบไม่แคร์ตัวแทน
ที่กำลังทำยอดขายให้ก็จริง แต่ทำแบบพากันไปตายในอนาคต

แบรนด์ที่ดีต้องมีบทลงโทษร้านที่ทำผิดแบบชัดเจน
ไม่ใช่แบบขอไปที


หรือร้องเรียนไปแล้วบอกว่าดำเนินการให้ แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
(ถ่วงเวลาให้เราเสียเวลาตั้งความหวังลมๆแล้งๆ และตุนของต่อไป)

3. สินค้าที่แบรนด์ตั้งราคาขาย “เท่า” ตัวแทนจำหน่าย
จริงๆ การตั้งขายเท่ากันไม่ผิดครับ
แต่การขายของ Official Store แม้ว่าจะตั้งราคาขายเท่ากัน

จากประสบการณ์ส่วนตัวที่ผมทดสอบมาแล้ว
(เพราะผมมีทั้งร้านปกติ และ ร้านทางการในทุก Platform)

คนซื้อจำนวนมากเลือกร้านทางการมากกว่าร้านตัวแทนอยู่ดี

อาจเป็นเพราะ น่าเชื่อถือกว่า / ระยะเวลาการคืนสินค้าได้นานกว่า
(เมื่อคุณซื้อใน Shopee Mall / LazMall หรือ TikTok Shop Mall)

นั่นหมายถึงต่อให้คุณทำการตลาดลากเข้ามาใน Platform
คุณทำได้ แต่ต้องยอมรับว่า
มีคนซื้อบางกลุ่มที่คุณกำลังยิงโฆษณา และ ลากพวกเขาให้มาโดนแบรนด์ขายเอง

กำไรแทนที่จะได้เต็มๆ
คุณดันต้องเป็นคนจ่ายค่าการตลาดหนักๆ แทนแบรนด์ในส่วนนี้ด้วย

ส่วนตัวที่ผมทดสอบแล้วกับแคมเปญ 9.9 ที่ผ่านมา
ผมมีหลายร้านค้า แต่ละร้านใช้เครื่องมือการตลาดที่ต่างกัน

พบว่าร้าน Official Store
ยิง Ads น้อย แต่ ROAS สูงกว่าร้านปกติมาก
แม้ว่าจะตั้งราคาเท่ากันก็ตามที

4. สินค้าที่แบรนด์ที่มีการคุมราคาขายให้ตัวแทนจำหน่ายตั้ง
แต่ตัวแบรนด์เอง “ทำโปรทุกวัน” ให้ต่ำกว่าราคาที่ควบคุม

และอ้างว่าเป็นเพราะเข้าแคมเปญต่างๆของ Platform

ความจริงคือ ตั้งแต่ต้นทาง
แบรนด์สามารถควบคุมเองได้ว่า
จะเข้าแคมเปญไหน / จะเข้าร่วมไหม
และสามารถเลือกสินค้าทำโปรโมชั่นได้ตั้งแต่แรก

แบรนด์รู้ก่อนหน้าแคมเปญจะเริ่มอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์
ว่าราคาสุดท้ายในแคมเปญจะเป็นเท่าไหร่
ก่อนที่แคมเปญใหญ่ๆ จะเริ่มขึ้นจริง

ถ้าแบรนด์ไหนอ้างว่า เพราะเข้าแคมเปญ
หรือมีทีมงานเอาสินค้าไปเข้า แล้วทำอะไรไม่ได้แล้ว
อ้างแบบนี้เรื่อยๆ

แปลว่า
เค้าไม่ได้ต้องการอะไรจากคุณตั้งแต่แรก
แต่เค้ากำลังจะฮุบยอดขายจากคุณครับ

5. สินค้าแบรนด์ที่มีการจ้างทีมงาน LIVE STREAM เอง
และมีการจัดโปรโมชั่นนาทีทอง หรือ
ราคาพิเศษตลอด LIVE STREAM แบบต่อเนื่อง
ก็พูดง่ายๆ คือ ตั้งราคาแบบลดแล้วลดอีกนั่นแหละฮะ

ลูกค้าได้ทั้งความน่าเชื่อถือจากแบรนด์
และได้ราคาพิเศษ

คุณต้องถามว่า คุณเองจะเอาอะไรไปสู้?
ไป LIVE แข่งกับเค้าไหวไหม?
หรือ จะไปจัดโปรนาทีทองเพื่อตัดกำไรตัวเองสู้ล่ะ?

6. สินค้าแบรนด์ที่มีทีมงานพร้อม
มีวินัยและมีแบบแผนการลุยออนไลน์ชัด
เช่น นอกจาก LIVE แบบสม่ำเสมอแล้ว
ยังทำ VDO สั้น ลง Social Media เช่น TikTok Shopee ทุกวัน

นั่นหมายถึง แบรนด์ได้สร้างการรับรู้ต่อเนื่อง
และยิ่งทำทั้ง LIVE + VDO ต่อแบบมีวินัย มีเป้าหมาย
ใน TikTok หรือ Shopee ก็ถือว่าเป็นการทำภารกิจไปในตัว

เพราะเป็นสิ่งที่ Platform ต้องการผลักดันอยู่แล้ว
เมื่อทำภารกิจมากตามที่ Platform ต้องการ

Platform จะตอบแทนโดยการเอื้อโค้ดส่วนลดเพิ่มให้ผู้ขายประเภทนี้อีก

แปลว่า ถ้าคุณไม่ขยันเท่าเขา , มีทีมงานทำแทน หรือ ขยันได้มากกว่า
สุดท้ายคุณก็อาจแพ้อยู่ดี

7. สินค้าแบรนด์ที่เมื่อคุณเช็คราคาโปรโมชั่นวันแคมเปญ
ลูกค้าปลีกสามารถซื้อสินค้าได้ถูกกว่าราคาส่งที่คุณซื้อ

8. สรุป ถ้าหากคุณเป็นตัวแทน
และมีแบรนด์ทำลักษณะแบบที่ผมเล่ามา

คุณจะมีสถานะเป็น “คู่แข่ง” ไม่ใช่ “พันธมิตร”
(แม้ว่าคุณจะมีสถานะเป็นตัวแทนจำหน่าย)

แต่ถ้าคุณปล่อยวางสินค้าเหล่านี้ลง
แล้วเลือกเป็น นายหน้าปักตะกร้าแทน

คุณจะมีสถานะเป็น “พันธมิตรชั่วคราว” ที่ไม่ใช่ “คู่แข่ง”

คำว่าชั่วคราวหมายถึง
คนที่มีสถานะเป็นนายหน้านั่นเองครับ

เรื่องจริง คือ
นายหน้าก็มีโอกาสถูกใช้แล้วทิ้งในอนาคตเหมือนกัน

คือพอแบรนด์ติดตลาด
ก็มักลดค่าคอม ค่านายหน้า
หรือ ยกเลิกค่าคอม ค่านายหน้าไปเลยก็มี

แต่อย่างน้อยมันก็ยังดีกว่าเป็นคู่แข่งตรงๆ
ต้องลงทุนสต๊อกสินค้า ทั้งที่ไม่รู้จะขายได้ไหม

ถ้าสินค้าที่คุณจะขาย ยังทำแบบนี้
คนตัวเล็กๆ ถ้าไม่มีตลาดของตัวเอง หรือช่องทางที่แบรนด์เข้าไม่ถึง
สู้ไปก็แพ้อยู่ดี

ความเห็นส่วนตัวของผมคือ
ลองใช้เวลาที่เท่ากัน ไปหาสินค้าที่สร้างรายได้ กำไรที่ดีกว่าดีกว่าครับ

สำหรับโพสนี้ สามารถตามไปอ่าน Comment เพื่อนๆทั้งหมดได้ที่นี่เลยครับ
https://www.facebook.com/share/p/PC3qX3iCf99BHmho/

อย่าลืมกดติดตาม Jade : เลือดสาดมาร์เก็ตติ้ง เพื่อไม่พลาดโพสถัดไปฮะ
เพจจริงต้องมีเครื่องหมายติ๊กถูกสีฟ้า

มีคำถามอะไรเพิ่ม ถ้าตอบได้จะตอบให้
Comment ไว้ได้เลยจ้ะ

Categories
บทความ

ถ้าย้อนวัยไปได้ซัก 10 ปี วันนี้ผมจะเป็นนายหน้าเต็มตัว

1. เริ่มได้โดยใช้เงินลงทุนน้อย

ตัวผมเองมีสินค้าในสต๊อกหลายล้านบาท
แต่ไม่ได้แปลว่าคนที่มีสินค้าในสต๊อกหลายล้านบาท
จะต้องได้กำไรเดือนนึงหลายแสน – หลายล้านบาทตาม


ผมเห็นหลายต่อหลายท่าน
ร่ำรวยจากการเป็นนายหน้า
และมีรายได้ตั้งแต่หลักพัน – หลักแสนบาท
(หลักล้านก็มีฮะ ตัวท๊อปๆ)

ซึ่งการที่จะได้กำไรเยอะๆ ไม่ได้ผันแปรว่า
คุณจะต้องมีเงินถุงเงินถังสต๊อกสินค้าในโกดัง

แต่รายได้พวกนี้
จะมากขึ้นตามความสามารถที่แท้จริงที่คุณมี

2. ได้หาสิ่งที่ชอบจริงๆ ถ้ายังไม่ชอบก็เปลี่ยนไปมาได้
ถ้าสมัยก่อนจะต้องมีคนถามว่า
อยากเปิดร้านขายของ แต่ไม่รู้จะขายอะไรดี?

จะเปิดร้านก็กังวลเรื่องทุนจม
ไม่รู้เปิดร้านแล้วทำเลดีไหม
ความเสี่ยงมันเยอะไปหมด

แต่สมัยนี้สั้นกว่า เพราะ
คุณตัดประโยคแรกออกไปได้เลย
“เหลือแค่คำว่าจะขายอะไรดีพอ”

คุณอาจได้ลองเริ่มจากของใกล้ตัวจริงๆก็ได้
เคยเห็นคนขายอุปกรณ์ของใช้ในบ้าน
อุปกรณ์แต่งสวน อุปกรณ์ตกแต่งบ้านไหม?

หลายๆโพส หลายๆคลิปมักพูดแบบนี้
เริ่มจากสิ่งใกล้ตัวก่อน

แล้วลองเล่าดูว่าทำไมคุณถึงใช้มัน
คุณจะได้เรียนรู้ว่า
ถ้าเป็นของที่คุณใช้ ชอบ และ อิน
มันจะเริ่มต้นง่ายมากเลย

3. ไม่ต้องยึดติดกับสินค้าตัวเดียว
พ่อค้าส่วนใหญ่มักตายตรงนี้
เพราะ ถ้าลงทุนกับสินค้าตัวไหนไปแล้ว
อยากได้ราคาถูก ต้นทุนถูก ก็ต้องตุนมากๆ
แต่พอตุนมากๆ แล้วระบายสต๊อกไม่ทัน

หรือมีสินค้าตัวใหม่ออกมา
สิ่งที่ทำได้ก็คือรีบหาทางแก้เกม เช่น ลดราคาหนี
คนที่มีสินค้าอยู่ในมือ คือ ลงทุนไปแล้ว
“แพ้ไม่ได้”
เพราะถ้าแพ้ก็ขาดทุน
!!

แต่ถ้าเราเป็นนายหน้า
ถ้ายอดขายไม่ดี เราดูทรงแล้วว่ามีอย่างอื่นดีกว่า
เราก็พร้อมเปลี่ยนไปทดลองสินค้าใหม่ได้ทันที
โดยไม่ต้องมีอะไรยึดติด
และตามกระแสผู้บริโภคทัน
และได้เข้าใจผู้บริโภคตัวจริงด้วย

4. ได้สร้าง Online Asset
เหมือนลงทุนอสังหาออนไลน์ให้ตัวเอง
ต่อยอดเพิ่มได้ในอนาคต

คำว่า Asset ในที่นี้ผมหมายถึง
(ผู้ติดตาม / ช่อง) ที่เกิดปฏิสัมพันธ์
กับกลุ่มลูกค้าตัวจริงในอนาคต

เช่น คุณสร้างช่องที่แม่บ้านเม้ามอยให้ฟัง
หรือสร้างช่องที่แม่เล่าเรื่องลูกให้ฟัง
(ลองนึกถึง แม่ตุ๊ก Little Monster)

คุณจะเริ่มสะสมฐานคนที่ใกล้เคียงกัน
เค้าจะเข้าใจว่า ช่องนี้แม่เข้าใจหัวอกแม่เหมือนกัน
แนะนำแต่สิ่งดีๆให้แม่เหมือนกัน

อนาคตเป็นไปได้ไหมว่า…
คุณจะได้มีสินค้า / พาร์ทเนอร์วิ่งเข้าหา
อยากให้คุณพูดถึง

เป็นไปได้ไหมว่า…
มีคนเชื่อใจคุณมากๆ
จนกระทั่งวันนึง คุณออกแบรนด์ตัวเองออกมา
ก็มีฐานแฟนรอซื้ออยู่แล้ว

มันคือการลงทุนเพื่ออนาคตครับ!!

5. ได้หาประสบการณ์จากการทดลองลงมือทำ

เพราะไม่เคยมีใครรวยจากการนั่งคิด
แต่มีหลายคนรวยจากการทำและมีวินัยในการทำ

คุณจะได้ทดลองการป้ายยาที่หลากหลาย
แม้ว่าโชคร้ายจะขายไม่ได้เลย
สิ่งที่ขาดทุนมากที่สุด
คือ ตัวอย่างที่คุณซื้อมา 1 ชิ้น

แต่สิ่งที่โชคดีที่สุด คือ
การได้ทดลองลงมือทำ
เอาชนะใจตัวเองและได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์

และถ้าโชคดี
คลิปหรือ Content เกิดแมส
คุณก็จะได้กำไรไม่รู้ตั้งกี่เท่า

ต่อให้วันนั้นคุณจะโดนเจ้าของถอดค่าคอม
แต่ถ้าคุณยังไม่หยุดทำ
คลิปอื่นๆในช่องก็จะวิ่งเข้าใส่ลูกตาของคนที่ติดตาม
หรือดูคลิป หรือ content คุณนานอยู่ดี

แต่นั่นแหละ
ไม่ใช่ทุกคนทำแล้วจะปัง
แต่คนปังส่วนใหญ่มีประสบการณ์ที่มากพอ

6. มีโอกาสได้เรียนรู้ผลิตภัณฑ์ต่างๆในวงการเดียวกัน

การที่คุณจะออกสินค้าของคุณ
แล้วบอกว่าดีกว่าคนอื่น
คนจะไม่เชื่อคุณทันที
โดยเฉพาะหากคุณไม่มีประสบการณ์
หรือข้อมูลบางอย่างมาก่อน

ยกตัวอย่าง ถ้าคุณกำลังจะออกรถ
คุณคงไม่เชื่อเซลส์ขายรถที่รู้แต่รถ MG

แต่คุณอาจจะเชื่อคนที่ขายรถอีกคนหนึ่ง
ที่มีประสบการณ์หลากหลายในหลายแบรนด์
และสามารถบอกจุดเด่น
จุดด้อยแต่ละอย่างได้อย่างตรงไปตรงมา

7. มีโอกาสได้ฟังเสียงว่าที่ลูกค้าในอนาคต

ก่อนที่ตัวเองจะออกแบรนด์หรือสินค้าตัวเอง
จากข้อที่แล้ว เมื่อคุณเป็นกลางมากพอ
และไม่มีความจำเป็นต้องอวยให้แบรนด์ใดเป็นพิเศษ

คุณจะเป็นคนที่ดูน่าเชื่อถือ
คุณจะเป็นคนที่ผู้ติดตามไว้ใจ
มากกว่าคนขาย ที่คนทั่วไปจะมองว่า
“เพราะมันเป็นคนขาย มันเลยอวยว่าของตัวเองดีที่สุด”

ความระแวง เคลือบแคลงใจมันแตกต่างกัน

8. ได้อยู่ข้างผู้ชนะ

เวลาอินฟลูเลือกตะกร้า
มักจะเลือกจากแบรนด์ที่ ร้านสร้างความไว้วางใจมาแล้ว
สินค้าต้องดีในระดับนึง คนถึงพึงพอใจที่จะจ่ายแล้ว
ตรงส่วนนี้ คุณเป็นผู้เลือก
ไม่ใช่เป็นผู้สร้างตั้งแต่ศูนย์

ฉะนั้น
นายหน้าส่วนใหญ่มักเลือก
สินค้าดี ร้านค้าเด่น มีรีวิวปัง

คุณคงไม่เลือกร้านค้าที่ขายไม่ดี
แบรนด์ที่ขายไม่ดีถูกไหม?

และ เมื่อสินค้าถูกพูดถึงในแง่ดี
คุณเป็นอีกคนนึงที่พูดถึงในแง่นั้นๆด้วย

มันก็เหมือนกับ
คุณเป็นพวกเดียวกันกับสิ่งที่เขาคิด
ทำให้คุณเป็นพันธมิตรกับผู้ชนะเสมอ

9. ไม่ต้องปวดหัวเรื่อง สต๊อก บัญชี ภาษี

ไหนจะต้องมองสินค้า มองตลาดให้ขาด
ไหนจะต้องกังวลเรื่องเงิน Cash Flow
ไหนจะต้องคาดเดากับสิ่งที่มองไม่เห็นในอนาคต
ไหนจะต้องพร้อมรับมือกับคู่แข่ง แบรนด์อื่นๆ ที่คาดเดาไม่ได้

เคยได้ยินเจ้าของแบรนด์บางคนที่ทุนจมไหม?
สั่งสต๊อกเพิ่ม แต่ขายออกไม่ดีเหมือนที่ผ่านมา
เจ๊งไปอีก

และไหนจะต้องปวดหัวเรื่องบัญชี ภาษี อีก
(มันไม่ได้ยากเกินความสามารถหรอก)
(แต่มันใช้เวลานาน ที่มือใหม่จะเรียนรู้)

10. ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าธรรมเนียมขึ้นเมื่อไหร่
(แต่กังวลว่าค่าคอมจะลดเมื่อไหร่แทน 555)

ผมเชื่อนะครับว่า
ตราบใดที่ตลาดมีความต้องการ
ตราบใดที่ยังมีสินค้า บริการ แบรนด์ที่เกิดใหม่
ยังไงการที่มีคนพูดแทนแบรนด์ หรือ สินค้าก็ยังจำเป็น

แม้ว่าวันนึงสินค้าที่คุณเคยทำ
เค้าจะลด หรือ ตัดค่าคอมมิชชั่นคุณไปแล้วก็ตาม

แต่… คุณเคยได้ยินประโยคนี้ไหม

นกที่นั่งอยู่บนต้นไม้ไม่เคยกลัวกิ่งไม้หัก
เพราะนกไม่ได้ไว้ใจกิ่งไม้แต่แรก
แต่มันมั่นใจในปีกตัวเอง

ถ้าคุณเป็นคนเก่ง
ต่อให้สินค้าที่คุณพักพิงวันนึงจะหายไป
แต่ถ้าปีกคุณแข็งแรงมากพอ
เวลานั้นคุณจะบินไปไหนก็ได้

11. คุณเป็นเจ้าของเวลา
หลายๆคน เข้างาน เลิกงานตามเวลา
แต่คนเหล่านี้ ควบคุมเวลาในการทำงานได้ด้วยตัวเอง

วันเสาร์ อาทิตย์
คนส่วนใหญ่มีวันหยุดแค่นี้
แต่วันเหล่านี้
อาจเป็นวันที่คุณเลือกนอนอยู่บ้าน
วันธรรมดา
เป็นวันที่คนทั่วไปไปไหนไม่ได้
และร้านมักจัดโปรลดราคา
แต่คุณสามารถเริงร่าในเวลาเหล่านี้ได้แทน 555

12. สรุป สิ่งที่คุณได้คือ
– ได้ลองค้นหาสิ่งที่ชอบ และไม่ชอบ
– ได้มีปฎิสัมพันธ์กับคนที่ชอบเรื่องเดียวกัน
– ได้สร้าง Online Asset ระหว่างการเดินทาง
– ได้สร้างสิ่งเหล่านี้โดยไม่ต้องใช้ทีมงานมากๆ
– ได้มีเวลาเป็นของตัวเอง
– ได้รายได้ที่ขึ้นสุด ลงสุดได้ตามความสามารถที่มี
– ได้รู้ว่าผลงานที่ทำไปทับซ้อนเป็นแต้มบุญได้

สิ่งที่ผมโพสทั้งหมดนี้
เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัว
ที่ผมเล่าให้ลูกฟัง 555

“วันไหนป๊าเหนื่อย ป๊าจะหนีไปเป็นอินฟลู”
“ตื่นมาไปส่งลูก แรดนอกบ้านทำสิ่งที่ชอบรอ”
“แล้วก็ไปรับลูกกลับบ้าน”
“หนูคิดว่ายังไง?”

“ก็ดีสิป๊า” 555

ปล. สุดท้ายทุกอาชีพก็มีง่าย-ยาก
ดี-เสีย แตกต่างกันไปแหละ
ชื่นชมทุกท่าน ที่หาเส้นทางตัวเองเจอฮะ ^^

สำหรับโพสนี้ สามารถตามไปอ่าน Comment เพื่อนๆทั้งหมดได้ที่นี่เลยครับ
https://web.facebook.com/share/p/pMpXqRxyPMFTLiFx/

อย่าลืมกดติดตาม Jade : เลือดสาดมาร์เก็ตติ้ง เพื่อไม่พลาดโพสถัดไปฮะ
เพจจริงต้องมีเครื่องหมายติ๊กถูกสีฟ้า

มีคำถามอะไรเพิ่ม ถ้าตอบได้จะตอบให้
Comment ไว้ได้เลยจ้ะ

Categories
บทความ

ผมที่เพิ่งกลับจากเมืองจีนแล้วเริ่มเห็นอนาคตว่าธุรกิจผมน่าจะไม่รอดในอีกไม่ช้า ถ้ายังคงทำอะไรแบบเดิมๆ

1. ใน E-marketplace ของจีนร้านติดอันดับขายดีเป็นร้านของแบรนด์จำหน่ายเองทั้งหมด (ในวงการผม)

2. ผมไม่เจอร้านตัวแทนร้านไหนติดอันดับขายดี (ในวงการผม)

3. ร้านตัวแทนจำหน่ายแทบไม่มีเหลืออยู่ในตลาดยกเว้นร้านที่มีหน้าร้าน Offline

4. ร้านที่มีหน้าร้าน Offline ไม่มีร้านไหนที่ทำการตลาดไม่เป็น

5. การทำ Content การยิงโฆษณาเป็นเรื่องพื้นฐานมากๆ สำหรับร้านที่ยังอยู่รอด

6. แบรนด์ที่ขายติดอันดับ 1 ใน 5 ของยอดขายในแพลทฟอร์มที่จีน (ของสินค้าในวงการที่ผมขาย) มีทีมงานแค่ดูแลออนไลน์ประมาณเกือบ 100 คนสำหรับการขายในประเทศ

7. และอีกเกิน 100 คนลุยตลาดออนไลน์ต่างประเทศ

8. การขายออนไลน์ไป Shopee Lazada เป็นเรื่องปกติมาก ผมเห็นเค้ากำลังเปิดร้าน ลงสินค้ากันอย่างเมามันส์

9. ทีมต่างประเทศที่ว่าก็คือแบบที่เราเจอร้านจีนลงขายแล้วส่งมาตัดราคาขายนี่แหละ

10. เขาไม่ได้ซีเรียสเรื่องการคุมราคาต่างประเทศอยู่แล้ว เพราะยิ่งขายได้มาก ก็ยิ่งมีกำลังผลิตมาก (Economy of Scale) ยิ่งมี Cash Flow กลับมาเพื่อต่อยอดผลิตรุ่นใหม่ แบบใหม่ต่อไป ฉะนั้นปัญหาเรื่องราคา เรื่องภาษี คือเรื่องของมึง ไม่ใช่เรื่องของเขา
(เขาแค่อยากระบายของออกจากสต๊อกและได้กำไร)

11. แต่ละแพลทฟอร์มเปิดหลายร้าน แต่ละร้านมีทีมงานคุมหลายแผนก

12. เช่น การ LIVE เองด้วยพนักงานตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีห้อง Live พร้อมอุปกรณ์มืออาชีพเหมือนมีห้องคาราโอเกะเต็มออฟฟิศ

13. ทีม Admin , Graphic , Marketing นั่งเรียงแถวหลายๆแถวในออฟฟิศทำงานแทบทุกวัน วันจันทร์-อาทิตย์ สลับกันทำงาน
(ถ้านึกภาพไม่ออกนึกภาพโต๊ะแบบที่เราเห็นในข่าว call center)

14. ตื่นเช้ามาก เลิกงานดึกมาก เหมือนเป็นเรื่องปกติ
(วันที่เค้าพาผมไปเลี้ยงข้าว)
(เค้าบอกว่าเลิกหกโมงนี่ผิดปกติมาก ปกติทุ่มนึงยังไม่เลิกเลย)

15. คนวัยทำงานส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นอายุ 2x กว่า ทำงานหนัก พูดได้ทั้งจีน และ อังกฤษ เป็นเรื่องปกติเลย
(เค้าบอกว่าก็วัยรุ่นสมัยนี้ เรียนมาในโรงเรียนแต่แรกไง)

16. มีวันนึงผมเดินไปย่านขายส่ง (คล้ายๆเสือป่า คลองถมบ้านเรา)
ส่วนใหญ่ก็มีแต่วัยรุ่นขายน่ะแหละ

17. คนสูงอายุ ในย่านนี้เห็นทำอยู่สองอย่าง คือ ทำความสะอาด หรือไม่ก็ยืนถือกระดาษแล้วพูดเป็นภาษาจีนว่า อยากซื้อกระเป๋า นาฬิกา แบรนด์เนมก้อปมั้ย (ถ้านึกไม่ออกคล้ายๆสมัยก่อนที่ pantip มีคนถามว่า โป๊มั้ยพี่)

18. การเดินเข้าร้านขายของ แล้วมีคนถือโทรศัพท์ LIVE หรือ เอา Ring Light พร้อม พัดลม และมีโน้ตบุ้คตั้ง แล้วขายของก็เป็นเรื่องไม่ผิดปกติเลย

19. การเดินตามถนนแล้วมีคนเดินถือกล้อง ถือไมค์ Live สด ก็ดูเป็นเรื่องไม่ผิดปกติเหมือนกัน (บ้านเราอายคนกันมาก ถ้าจะทำเรื่องแบบนี้)

ปล. แต่ผมเห็นคนไทย Live TikTok ในร้าน Pop Mart, Top Toys แล้วบอกใครเอา ยย. บ้านเขียว หลายคนนะ

20. ไม่รู้เป็นเพราะประชากรเค้าเยอะต้องแย่งหางานกันทำ

ทำให้ทุกอย่างต้องแข่งขันกันขนาดนั้นรึเปล่า แต่รู้สึกว่า ไม่แปลกที่มีหลายคนพูดว่าคนจีนที่มาไทยรู้สึกชอบงานที่ไทย

เพราะคนไทยแทบไม่ทำอะไรแบบที่บ้านเขาทำกันแบบดุเดือดเป็นเรื่องปกติ (คนธรรมดาบ้านเขากลายเป็นคนโคตรขยันบ้านเรา)

21. เรื่องพื้นฐานที่ควรทำได้ คือ การมีช่องทางขายในทุก Platform (เอาเท่าที่กลุ่มลูกค้าเรามี ถ้าไม่มีในกลุ่มนั้นๆ ก็เริ่มจากทำในช่องทางที่มีเยอะที่สุดก่อน)

22. เรื่องที่ควรทำต่อมาได้ คือการทำการตลาดให้ตัวเองให้เป็น (Content , Ads)

23. เรื่องที่ควรทำได้ต่อมา คือ หาจุดแข็งตัวเองให้เจอ เพราะถ้ามีแค่ราคาที่ดีกว่าก็โดนแบรนด์กลืนไปเมื่อไหร่ก็ได้น่ะแหละ
(ในจีนผมถึงบอกว่าออนไลน์แทบไม่เหลือร้านคนกลางแล้ว)

24. ถ้าสินค้าดูไม่มีอนาคต รีบปล่อยดีกว่าในขณะที่ยังลงทุนไปไม่เยอะ

25. ในไทยตอนนี้ส่วนตัวมองว่าสาย Influencer น่าทำสุดแล้ว เพราะแทบไม่ต้องลงทุน ต้นทุนน้อย ใช้สมองเยอะ แม้จะมีคนทำเยอะ แต่ก็เรื่องปกติของทุกวงการ (ขายของก็มีคนแย่งขายเหมือนกันน่ะแหละ)

26. ก่อนจะบ่นว่าคนทำเยอะไม่ดัน feed ก็เน้นทำพัฒนาไปเรื่อยๆ ดีกว่า
เพราะต้นทุนไม่เสียอะไรมาก ถ้าเทียบกับต้องซื้อของมาตุนแล้วรอขาย
(แถมโดนกดดันจากแบรนด์และแพลทฟอร์ม ไม่รวมเรื่องภาษี)

27. ออนไลน์ไม่ใช่ทางเลือก มันคือทางรอด

28. จะไม่ทำก็ได้วันนี้ แต่ถ้าคุณไปเห็นด้วยตาเหมือนผม
แล้วรู้ว่าธุรกิจคุณจะเป็นแบบนี้อีกไม่ช้า
คุณจะนั่งไม่ติด รีบหาทางรอดเหมือนผมแน่ๆ

29. ไม่ต้องเชื่อที่เล่าก็ได้ ลองปล่อยให้โชคชะตาชักนำ
ให้คุณเจอสิ่งที่ใช่ ได้ยินสิ่งที่อยากได้ยิน แล้วฟังในสิ่งที่อยากฟัง
(ถ้ามันทำให้คุณสบายใจ เชื่อแบบไหนก็เชื่อแบบนั้นต่อไป)

30. การไปดูต่างประเทศด้วยตัวเองดีกว่านั่งหน้าคอม
เพราะมันได้ฟีลลิ่งกว่า และ คุณจะเห็นว่าหลายๆธุรกิจที่อยู่ในบ้านเรา
แทบจะเลียนแบบเขามาหมด แล้วทำ Logo แปะใหม่ และทำให้เป็นของตัวเอง


ว่าแต่มีคนตามมาอ่านหน้าเว็บจริงๆ เหรอ
ถ้ามี Comment บอกหน่อย งวดหน้าจะได้มาลงในเว็บให้!

สามารถตามไปกดติดตามเพจ อ่านบทความโพสเก่าๆ
และ อ่าน Comment เพื่อนๆทั้งหมดได้ที่นี่เลยครับ
https://www.facebook.com/100063664279457/posts/pfbid0orESTsQar3sv6uUcrJaGjKSjaLTFx68pyFWZStVuAkRGJ9FCx5N48aPsUPVyJWP9l/

อย่าลืมกดติดตาม Jade : เลือดสาดมาร์เก็ตติ้ง เพื่อไม่พลาดโพสถัดไปฮะ
เพจจริงต้องมีเครื่องหมายติ๊กถูกสีฟ้า

มีคำถามอะไรเพิ่ม ถ้าตอบได้จะตอบให้
Comment ไว้ได้เลยจ้ะ