Categories
Shopee Seller Note

ที่มาของผลลัพธ์มาจากความเชื่อใจ

ถ้าผลลัพธ์ (Result) ต่างๆในชีวิต
เปรียบได้กับการกระทำต่างๆที่เราได้ทำไว้ตั้งแต่อดีต
งั้นก่อนที่จะได้ผลลัพธ์ดีๆเราจะต้องมีอะไร?

(โคตรยาวนะฮะ เตือนก่อน 555)

ใครๆก็คงพูดได้ว่า
ผลลัพธ์ก็เกิดจากการกระทำไง

คำถามคือ
แล้วก่อนที่เราจะลงมือทำมันมันต้องมีสิ่งอื่นอีกรึเปล่า?


เปิดเรื่องมาได้น่าสนใจใช่ไหมครับ
ไหนลองอ่านต่อซิ


4 Cores of Credibility through the metaphor of a tree.

ภาพเปรียบเทียบรูปต้นไม้นี้
ผมเอามาจากหนังสือชื่อ The Speed of Trustโดย Stephen M.R.COVEY

เค้าบอกว่าคนส่วนใหญ่มักมองที่ผลลัพธ์เป็นหลัก
โดยไม่ได้ดูว่า แก่น หรือ รากของผลลัพธ์นั้นมาจากอะไร

เราจึงมักเจอคำถามพื้นฐานบ่อยครั้ง เช่น

(พี่ขายอะไรครับ?)
(ทำยังไงถึงจะขายดีครับ?)
(หาสินค้าอะไรมาขายดีครับ?)

#ถ้าอ่านแล้วคิดนิดนึง
#คำถามเหล่านี้อาจน้อยลง
#และช่วยคุณตัดสินใจอะไรบางอย่างได้

ผมจึงหวังว่าเรื่องที่ผมเขียนจะช่วยให้คำถามเหล่านี้ลดน้อยลงบ้าง
หากคุณอ่านจบและนำไปคิดต่อ


ถ้าส่วนของผลไม้ (Result)
คือส่วนสุดท้ายที่เราจะเก็บกิน
แปลว่าต้นไม้เราต้องแข็งแรงและมีการบำรุงอย่างเหมาะสม

Concept หนังสือบอกว่า
ไม่ว่าจะทำธุรกิจแบบไหน หรือ ทำอาชีพอะไร
การสร้าง “ความเชื่อใจ”
เป็นการสร้างที่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง
และส่งผลกระทบในเชิงกว้างได้อีกมหาศาล

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเรามีความน่าเชื่อถือในแง่ :
– เป็นสามีที่ภรรยาเชื่อใจ
– เป็นพ่อที่ลูกไว้วางใจ
– เป็นคนน่าเชื่อถือในที่ทำงาน
– เป็นเจ้านายที่น่าเชื่อถือกับลูกน้อง
– เป็นบริษัทที่น่าเชื่อถือ น่าไว้วางใจกับบริษัทคู่ค้า
– เป็นประเทศที่น่าเชื่อถือด้านการผลิตส่งออกการค้าระดับโลก

หากไร้ซึ่งความน่าเชื่อถือหรือไม่มีความเชื่อใจเลย
การค้า ธุรกิจ ความสัมพันธ์ก็จะไม่เกิด

(ทำไมไม่มีคนสั่งของร้านหนูเลยคะ?)
(ทำไมไม่มีคนกดติดตามร้านค้าเลยคะ?)

ต้นทุนก็อาจจะแพงขึ้น กระบวนการทำงานก็ต้องใช้เวลามากขึ้น
ถ้ามองใกล้ตัวหน่อย ลองส่องกระจกดู มองหน้าตัวเอง

เราคงไม่แต่งงาน ใช้ชีวิต กับ ผู้ชาย / ผู้หญิงที่เราไม่เชื่อใจ
เราคงไม่ทำการค้าทำธุรกิจกับคนขายที่เป็นใครไม่รู้
เราคงไม่สั่งซื้อสินค้าหรือกล้าจ่ายแพงกับแบรนด์ หรือ ผู้ขายที่เราไม่รู้จัก
เราคงไม่กล้าตัดสินใจจากสินค้าหรือบริการอะไรที่ไม่เคยมีใครซักคนรีวิว

ทำไมล่ะ?

เพราะเรา “ไม่เชื่อว่าดี” หรือ “ไม่ไว้วางใจ” ไง!!


แปลว่าก่อนคนจะตัดสินใจอะไรในหลายๆครั้ง
เรื่องราคาก็เรื่องนึง
แต่เรื่องความไว้วางใจ ความเชื่อใจ
เป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องนึงและที่น่าเสียดาย


ทั้งๆที่เรารู้ว่าเป็นเรื่องดี
เป็นข้อได้เปรียบทางการค้าที่ดีมาก
แต่เราไม่ทำ

เพราะการสร้างความเชื่อใจไม่ง่าย
เหมือนกับการตัดราคาคู่แข่ง

(แล้วเราก็หนีไปตัดราคาเหมือนชาวบ้านเหมือนเดิม)
(แล้วก็บ่นว่าขายไม่ออก ตลาดอยู่ยาก)

(ขายใน Shopee ไม่ตัดราคาอยู่ไม่ได้เลยครับ)
(Lazada ตัดราคากันหนักมากเลยครับ)

ความเชื่อใจมันต้องใช้เวลาในการสร้าง
และความพยายามเป็นอย่างมาก

มันไม่ง่ายเหมือนเข้าหน้าหลังบ้าน
กดเปลี่ยนตัวเลขตัดราคาให้ถูกลงแล้วกด OK
แบบสายแม่ค้าทั่วไปทำกัน

ความเชื่อใจใช้เวลานาน
แต่หากผลลัพธ์เกิดผลแล้ว

มันเป็นข้อได้เปรียบที่เลียนแบบได้ยาก
เพราะความเชื่อใจตีค่าเป็นตัวเลขไม่ได้…

คุณเคยได้ยินคนคอมเมนต์แบบนี้ไหม
(ตอนนี้ไม่ขายสินค้าตัดใครอีกเลยค่ะ)
(หาลูกค้าระดับบน จ่ายง่าย ซื้อของง่ายครับ)

เค้าไม่ได้โลกสวย แต่เค้ารู้ว่าสิ่งที่เค้าทำคืออะไรต่างหาก

และทีเด็ดคือ
Trust Transfer ได้

เช่น
คุณเชื่อใจนายเจตน์ในการสอน Shopee
วันหนึ่ง นายเจตน์หนีไปสอน Lazada
คุณก็อาจเชื่อว่าเค้าสอนดีอยู่ดี
“ถ้า” สิ่งที่เค้าสอนมาก่อนดีมาก หรือ
เกิดผลลัพธ์ที่ดีและมีคนรีวิวว่านายคนนี้สอนดี

(เห็นภาพไหม?)

เรารู้กันว่ามันดี แต่ทำไมเราไม่ทำบ้าง?
เพราะมันยากและนาน

เรารู้ว่าดี

แต่เราไม่พยายามศึกษาถึง “แก่น” ของมัน

เรามัวแต่ชิม และ อิจฉา “ผล” ของมันใช่ไหม?


Concept ที่ดูน่าสนใจนี้
กลายเป็นหนังสือเล่มนึงที่กลายเป็น New York Time Best Seller
และขายไปมากกว่า 2 ล้านเล่ม

เฉพาะหน้าที่ผมถ่ายมาแบ่งปันเค้าพูดว่า
การที่เราจะสร้างความน่าเชื่อถือ เชื่อใจ (Creditbility)
มาจาก 4 หลักใหญ่ หรือ เรียกว่า 4 Cores of Credibility

Core 1 – Integrity

คำว่า Integrity แปลเป็นไทย ดูไม่มีคำที่เหมาะสม
เพราะถ้าเปิด Dictionary หรือ Google
Intregrity แปลว่า Honesty (ความซื่อสัตย์)
แต่คำว่า Honesty ไม่ได้แปลว่าแค่พูดเรื่องจริงอย่างเดียว
แต่รวมถึง การทิ้งความรู้สึกที่ถูกต้องให้ผู้พบเห็นด้วย
(not only telling the truth, but leaving the right impression)

ในหนังสือได้พูดไว้อีกว่า
A Person has integrity when there is no gap between intent and behavior – when he or she is the same – inside and out
บางคนแปลว่าสุจริต แต่ผมขอใช้คำว่าเจตจำนงค์ก็แล้วกัน

เจตจำนงค์ที่ดี คือ เมล็ดพันธุ์ที่ขยายเป็นรากแก้วของผลลัพธ์
รากจะมาก่อนลำต้น
และลำต้นก็จะมาก่อนกิ่งก้าน และเกิดผลลัพธ์ในที่สุด

เปรียบเทียบ เจตจำนงค์ คือ รากของต้นไม้
เราจะพบกว่าน้อยคนมากที่จะมองหารากของคนอื่น

เพราะเรามักมองแต่ผลลัพธ์ของร้านค้าที่ขายดี
แต่เราไม่ได้มองว่าเค้าทำอะไรมา
จุดเริ่มต้นของธุรกิจคืออะไร

(เรื่องนี้ลองไปฟังพวกรายการธุรกิจเช่นเจาะใจ)
(ที่ชอบเชิญเจ้าของมาสัมภาษณ์)
(จะมีที่มาที่ ล้วนมีเจตจำนงค์ที่แรงกล้าเสมอ)

สมมุติเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดขึ้น
นายเจตน์ อยากเปิดเพจ
เพื่อให้ความรู้ทางธุรกิจแบบที่นายเจตน์รู้ และ ได้ลองเจ็บตัวมา
เพื่อย่นระยะเวลาคนติดตามให้ไวขึ้นและไม่ต้องลองผิดลองถูก
ชีวิตเขาจะดีขึ้น และประสบผลสำเร็จได้ไวกว่าสิ่งที่นายเจตน์ประสบพบเจอมา

(คุณลองเอาไปตั้งคำถามในธุรกิจคุณดูว่า)
(คุณมีเจตจำนงค์อะไร)
(ลิสออกมา)


Core 2 – Intent
คือ Reason for doing something
ความตั้งใจ ที่อยากให้ผลลัพธ์ออกมาดี

เมื่อเจตจำนงค์เราดี
จะเกิดเป็นความตั้งใจที่ดี

ความตั้งใจที่ดี
จะเกิดเป็นผลงานที่ดี

ไม่ว่าจะเป็น
การสร้างผลงานในรูปแบบต่างๆ
การสร้างคลิป / Content / Copywriting
การสร้างสินค้า / บริการที่ดี
การคิดถึงสิ่งที่ลูกค้าจะได้ก่อนสิ่งที่เราได้รับ

เปรียบรูปต้นไม้อีกครั้ง
Step นี้ คือ ขึ้นจากราก เป็นลำต้น
ซึ่งคนจะเห็นความตั้งใจที่ดีและสิ่งที่เราทำแล้ว

ซึ่งความตั้งใจที่ดีจะขยายผลได้ด้วย
ความปรารถนาดี(Genuine Caring)

ปรารถนาให้ชีวิตรอบข้างดีขึ้น
ปรารถนาให้ผู้ซื้อ ลูกค้าชีวิตดีขึ้น
ปรารถนาให้สังคมดีขึ้น

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ
นายเจตน์คิดว่าอยากขายสินค้าความรู้และประสบการณ์
ความตั้งใจนายเจตน์ คือความรู้และประสบการณ์
และค่าโง่ต่างๆที่เขาได้เจอมา

สามารถแบ่งปันเพื่อย่นระยะเวลาผู้คน
เมื่อคนเหล่านั้นไม่เสียเวลาชีวิตและเสียเวลาล้มลง
เพราะเมื่อคนล้มลง ก็ไม่ได้ล้มคนเดียวแต่ครอบครัวล้มด้วย

และเมื่อล้มแล้วก็ต้องเสียเวลาปลง และจุดไฟตัวเองให้ไปต่อ
หรือเดินต่ออีกครั้ง

ในเมื่อนายเจตน์สามารถแบ่งปันได้เพราะล้มไปนับครั้งไม่ถ้วน
นายเจตน์จึงสามารถฉุดให้เขาลุกขึ้นมาได้ไวขึ้น
เพื่อจะได้ไม่ต้องตกหลุมแบบเขา
และจะได้ไม่ต้องเสียเวลาคลำทางแบบนายเจตน์

นายเจตน์จึงเริ่มสินค้าและบริการขึ้นมา
(จากเจตจำนงค์เริ่มเป็นความตั้งใจและปรารถนาดี)

(คุณลองเอาไปตั้งคำถามในธุรกิจคุณดูว่า)
(คุณมีความตั้งใจอะไร ที่อยากทำให้ลูกค้าได้อะไร)
(ลิสออกมา)


Core 3 – Capabilities
ขอแปลทับศัพท์ว่า Power or Ability to do something

ในเมื่อเรามีเจตจำนงค์ที่ดี
มีความตั้งใจที่ดี

แต่หากขาดความสามารถที่จะแสดงมัน
ทุกอย่างก็ไม่สามารถก่อให้เกิดผลได้

แปลว่าต่อให้รากแข็งแรง ขึ้นเป็นลำต้นแล้ว
แต่ขาดปุ๋ย สารอาหาร การดูแลที่ดี

แม้ว่าจะเติบโต
แต่ไม่แตกกิ่งก้าน หรือเมื่อแตกก้าน ก็ไม่ออกดอก ออกผลให้เก็บ

Capabilities สามารถพัฒนาแยกย่อยเป็น Talents (พรสวรรค์) , Attitudes (Mindset) , Skill (ทักษะที่ฝึกฝนได้) , Knowledge (ความรู้ที่หาเพิ่มได้) , Style (ผมขอแปลว่าการสื่อสารที่เหมาะสมแล้วกัน)

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ

นายเจตน์ต้องการเปิดสอน Shopee
แต่นายเจตน์ทำเป็นแค่สมัคร Shopee
และมีออเดอร์เพียง 1 ชิ้นต่อวัน
นายเจตน์ไม่ได้เคยมียอดขายจริงๆจาก Shopee
และไม่มีประสบการณ์ใดๆจริงจังในการสอน
แต่นายเจตน์อยากได้เงิน

แปลว่า
นายเจตน์จะดู (เหี้ย) มาก หากอยากขายสินค้านี้ และ
แค่อยากรวยจากการขายในสิ่งที่ไม่ถนัดจริงๆ
(กลายเป็นคนรวยด้วยการสอนไม่ใช่การทำธุรกิจจริงๆ)

แปลว่าถ้าเทียบกับ ต้นไม้
เจตจำนงค์ไม่ดี — อยากได้เงิน — รากไม่แข็งแรง
ความตั้งใจ — อยากได้เงิน — ต้นไม่น่าจะโตแต่แรก
ความสามารถ — สร้างภาพว่ามี — ต้นไม่โต กิ่งก้านไม่งอก
ผลที่ได้– ขายไม่ได้ — ผลไม่ออก

อีกตัวอย่างหนึ่ง
แม่ค้า A อยากขายครีม
แม่ค้า A ไม่เคยใช้ครีมเลย
แต่แม่ค้าบอกว่าครีมดีมาก
ใช้แล้วดีสิวหาย หน้าหด หลุมสิวหาย
และแม่ค้าบอกว่า นี่คือครีมมหัศจรรย์ดีกว่าเค้าเตอร์แบรนด์

เจตจำนงค์ — อยากได้เงิน — อะไรก็ได้ที่ทำเงิน
ความตั้งใจ — ขายอะไรก็ได้ที่ได้เงิน — มีอย่างอื่นก็ขายแต่เจออันนี้ก่อน
ความสามารถ — กูก็ไม่รู้หรอกว่ามันดียังไง — ลอกคนอื่นมาขาย
ผลที่ได้ — คนเชื่อใจยาก ขายได้น้อยหรือขายไม่ออกเลย
(ถ้าหลอกขายได้ คนก็ไม่กลับมาซื้ออีก)

แปลว่าถ้าไม่มีความสามารถด้านนั้นจริงๆก็ยากมากที่จะเติบโตได้
และเมื่อเติบโตไม่ได้ ก็ไม่เกิดผลลัพธ์
และแตกกิ่งก้านธุรกิจต่อในอนาคตไม่ได้

(คุณลองเอาไปตั้งคำถามในสินค้าและบริการคุณดูว่า)
(เรามีความสามารถอะไรที่ส่งเสริมสินค้าและบริการนั้นหรือไม่)
(ลิสออกมา)


Core 4 – Results
Track Record ผลลัพธ์

ความสำเร็จ ตัวเงิน ความน่าเชื่อถือ รีวิว
เป็นสิ่งที่คนจะเห็นได้ชัดที่สุด

(แบบที่เห็นคนโชว์กันเรื่องยอด , เรื่องกล่อง , ออเดอร์ต่อวัน)
เป็นอย่างสุดท้ายที่เห็นได้ง่ายที่สุด

แต่คนไม่ย้อนมาดูที่แก่นหลัก
ถ้าทั้งสามอย่างก่อนหน้าไม่ดี (เจตจำนงค์, ความตั้งใจ , ความสามารถ) ผลลัพธ์ก็จะไม่เกิดเด็ดขาด

สิ่งๆนี้ ไม่ได้ทำให้เกิดเฉพาะเงินทองแต่มันคือความเชื่อใจของลูกค้าด้วย

คนทั่วไปมักโดนผู้ขาย/ให้บริการหลอกล่อด้วย ผลลัพธ์ ที่ดูแสนจะหอมหวาน
แต่ไม่ได้ดูถึงกิ่งก้าน ลำต้น และรากที่มาเสมอ

เมื่อคนหลงกลซื้อผลลัพธ์ แต่ไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวังนั้น
เค้าก็จะไม่กลับมา

ซ้ำร้ายก็จะชักชวนให้คนไม่มาใช้สินค้าและบริการเช่นกัน


ถ้าสรุป สั้นๆ

ความร่ำรวย ไม่ใช่ การใช้เครื่องมือเก่ง หรือมีช่องทางที่มาก
สิ่งเหล่านั้นคือ “วิธีการ”

ถ้าสังเกตดูดีๆทุกอย่างเริ่มที่วิธีคิด
(เจตจำนงค์เราคืออะไร?)
(ช่วยอะไรให้ใครดีขึ้น?)

หากวิธีคิดเรามาถูกทาง
เราก็จะได้รากที่แข็งแรง

การที่รากเราแข็งแรง
วิธีการ และกระบวนการที่จะตามมาทีหลัง
ก็จะช่วยเสริมให้สิ่งที่เราทำมาแข็งแรงขึ้นไปอีก

และเมื่อ วิธีคิด และ วิธีการถูกต้อง
มันก็จะแตกกิ่งก้านออกดอกออกผลได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นมากขึ้นไปเรื่อยๆ


ถ้าเราไม่ชอบปลูกต้นไม้ใหม่หลายๆรอบ
ตั้งใจปลูกต้นเดียวให้ดีไปเลย

มันอาจย้อนไปเป็นเรื่องการตั้งเป้าหมายก็ได้
การตั้งเป้าหมายที่เห็นหลายๆคนโพสปีใหม่
ว่าจะทำแบบนั้น แบบนี้ให้ได้

จากผลวิจัยเรื่องการตั้งเป้าหมาย
ครึ่งนึงของชาวอเมริกันตั้งเป้าหมายปีใหม่
แต่มีเพียงคน 8% เท่านั้นที่สามารถรักษามันไว้ได้

และรู้มั้ยว่า 8% นี้จะเกิดความภาคภูมิใจในตัวเองสูงมาก
และจะเกิดความเชื่อใจในตัวเองมากกว่าอีก 92% ที่เหลือ
(ไม่ว่าเป้าหมายนั้นมันจะเล็กน้อยซักแค่ไหนก็ตามที)
และจะเสริมสร้างความมั่นใจเป้าหมายครั้งต่อไปได้

ฉะนั้นคนที่เขียนตั้งเป้าไว้
แต่สุดท้ายทำไม่ได้ และล้มเลิกกลางคัน
ก็มักจะเสียความเชื่อมั่นในตัวเองไปด้วย

เพราะเมื่อตัวเราเองยังรักษาความเชื่อใจให้ตัวเองไม่ได้
ก็ยากมากที่จะรักษาและทำให้คนอื่นเชื่อใจเช่นกัน

Trust – The One Thing That Changes Everything

——

ขอให้คุณได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสมครับ
Jade : เลือดสาดมาร์เก็ตติ้ง04.01.2021

Categories
Shopee Seller Note

Day 4.5 ทำไมขายของใน Shopee ไม่ดีเหมือนขายใน Lazada?

คำถามที่ดี นำให้เรามาสู่คำตอบที่ดีเสมอ

หากคุณเป็นพ่อค้า แม่ค้าที่มี ยอดขายใน Lazada ดีกว่า
และอยากขยับขยายเปิดสาขา ขายใน Shopee
แต่รู้สึกว่าทุกอย่างมันดูยากไปหมด

และยอดออเดอร์มันก็ดูไม่น่าพอใจเหมือนที่ขายที่เดิมเลย

คุณไม่ต้องรู้สึกแปลกหรอก มันคือเรื่องปกติน่ะแหละ

เพราะนักเรียนของผมหลายคนที่ถามคำถามนี้เหมือนกัน
ทั้งๆที่ขายสินค้าเหมือนกัน ตกแต่งร้านคล้ายๆกัน
ทำเหมือนกันแทบทุกอย่าง (บางคนใช้รูปเดียวกันหมด)
แต่ทำไมเราถึงขายไม่ดีเหมือนเดิม
ทั้งๆที่ก็ทำทุกอย่างใน Shopee เหมือน Lazada แล้วนี่นา

ผมว่าคลิปนี้ น่าจะมีคำตอบดีๆให้คุณนะครับ

สู้ไปพร้อมๆกัน
Jade : เลือดสาดมาร์เก็ตติ้ง
22.12.2020

Categories
Shopee Seller Note

Day 4 : เรากำลังอยากได้ยอดขายดีๆ จากหน้าร้านแย่ๆ

มันจะดีกว่าไหม ถ้าลูกค้าเข้าร้านเราเท่าเดิม
แต่มีโอกาสซื้อของจากเราเยอะขึ้น?

และจะดีกว่าหรือเปล่า ถ้า ลูกค้ามีโอกาสซื้อของเราเยอะขึ้น
และเข้าร้านมามากกว่าเดิม?

คำถามปลายเปิดที่ผมถามทุกคนในคลาส
เพื่อให้ล้อกับสมการ รายได้ง่ายๆ
รายได้ = จำนวนคนเข้าดู x ค่าเฉลี่ยยอดสั่งซื้อ x อัตราการซื้อ

สมการนี้หากินได้จนวันตายเลยครับ

Conversion หรือ เรียกว่าอัตราการซื้อ

ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้ามีคนเดินเข้ามาในร้านเรา 100 คน
สุดท้ายซื้อของออกไป 1 คน
แปลว่าเรามีอัตราการซื้ออยู่ที่ 1%

แต่ถ้าเรามีหน้าร้านที่ดี สินค้าน่าสนใจ มีรีวิวที่ดี
ตลอดรวมถึงมีการให้รายละเอียดที่ดี
ดีจนลูกค้าไม่ต้องถามอะไรมาก และเชื่อใจ
จะทำให้ตัวเลขตรงนี้สูงขึ้นได้มาก

ค่า Conversion นี้จะสูงขึ้นจากวันปกติ โดยเฉพาะในวัน Dday
หรือที่เราเรียกกันว่า 11.11 , 12.12

อาจจะแปลว่า คนเดินเข้ามา 100 คน
ซื้อของออกไปมากถึง 20 คน ได้เลย
(เราเรียกว่า Conversion 20%)

เราจะเห็นได้ชัดเจนว่าตัวเลขวันทั่วๆไป จะไม่ได้สูงมาก
เพราะมันไม่ได้แปลว่าคนดูสินค้าทุกประเภทแล้ว
จะซื้อได้ภายในครั้งเดียว

เช่นถ้าผมขายลู่วิ่งไฟฟ้า ราคา 15,000 บาท
คงไม่ง่ายเหมือนขาย แปรงปัดขนตาราคา 8 บาท
หรือขายยางรัดผม 1 บาท

ซึ่งผู้อ่านทุกท่านสามารถเช็คข้อมูลตรงนี้ได้จากหน้าหลังบ้าน

Shopee Seller Center > Business Insights

เราจะเห็นตัวเลขกราฟอยู่ว่า ตอนนี้ Conversion เราเป็นอย่างไร
และสามารถย้อนเช็คแบบรายวัน รายสัปดาห์ หรือ รายเดือนได้ด้วย

เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก
เพราะ เราที่เป็นเจ้าของร้าน มักมองว่าร้านเราดีเสมอ
แต่อาจต้องทำความเข้าใจเสียใหม่

เพราะคนที่จะมองว่าร้านเราดีหรือไม่
คือลูกค้าที่จะซื้อไม่ใช่เจ้าของร้านมโนไปเอง
และตัวเลขเหล่านี้ไม่สามารถหลอกได้

ผมเคยยกตัวอย่างด้วยรูปภาพนี้ไปในคลิปฟรี คลิปหนึ่งทาง Youtube
พร้อมรูปภาพ รูปหนึ่งซึ่งผมตั้งใจ Retouch มันมาก
(แต่น่าเสียดายที่ไม่ค่อยมีคนสนใจมันเท่าไหร่นัก)

ทุกคนชอบใส่โค้ดส่วนลด และทำเหมือนกับว่าร้านตัวเองไม่มีอะไรดีซักอย่างยกเว้นมีส่วนลด

ผมลองหาตัวอย่างดูในร้านค้าต่างๆกัน
ทั้งร้านที่มีคนติดตามเยอะในระดับหนึ่ง
กับร้านใหม่ที่ไม่มีคนติดตามเลย
หลายๆร้านมองข้ามเรื่องนี้ไป และยังทำอะไรคล้ายๆกัน
คือ พยายามใส่โค้ดส่วนลดมากๆ และทำตัวเองเป็นเหมือน
Big C หรือ Lotus

ราวกับอยากจะบอกว่า
ร้านกูไม่มีอะไรนอกจากส่วนลดที่ถูกที่สุด

(แล้วพากันมาบ่นทีหลังว่าต้องต่อสู้ด้วยราคาอย่างเดียว)
(ไม่ขายถูกอยู่ไม่ได้)

ที่น่าเสียใจคือ
ร้านใหม่ๆที่กำลังเพิ่งเข้ามาลงสนามกำลังเข้าใจอะไรบางอย่างผิด
โดยมักบอกว่า
“คนอื่นเค้าก็ทำแค่นี้ ผมก็เลยทำแค่นี้”

“แล้วเขาขายมาก่อนคุณมานานแค่ไหน?”
“ตอนที่เขาขาย เขามีคู่แข่งเยอะมากเท่าตอนนี้ที่คุณโดดมาขายไหม?”

“….”

ต่อให้ร้านเหล่านั้นเคยเป็นร้านโชว์ห่วยมาก่อน

แต่เป็นร้านโชว์ห่วยที่
ขายมานานจนคนรู้จักทั้งตำบล และคนรอต่อคิวเข้าร้านเค้าแล้ว

(คลิปนี้เป็น Concept กว้างๆ ที่ผมไม่ได้พูดลึกมากเท่าในคลาส)

ซึ่งจุดที่ทำให้ร้านเราดี หรือ ไม่ดี มันคืออะไร
ผมยกตัวอย่างภาพนี้ในคลาสล่าสุด

ถ้าหน้าร้าน Online เปรียบเหมือน Offline ตอนนี้ Apple Store กำลังโฆษณาอะไร

Apple Store ตั้งใจทำให้ร้านดูดีมาก
ไม่ว่าจะเป็นหน้าร้านออนไลน์ (เว็บไซท์) และ ออฟไลน์

รวมถึงการจัดเรียงสินค้าต่างๆ บนโต๊ะ และแยกหมวดหมู่ค่อนข้างชัดเจน

ผมแนะนำว่าให้คุณลองไป Apple Store สาขา Central World ดู
และสังเกตดูดีๆ คุณจะพบว่า เขามีอะไรมากกว่าแบรนด์ Apple
แต่คำว่า Apple มันถูกฝังใน DNA ในทุกอณูจริงๆ

สภาพที่ตรวจการบ้านใน Live สด จนถึงห้าทุ่มกว่า มันก็ทรมานพอตัว

การที่จะขายให้ดี มันคงไม่ใช่แค่ถ่ายรูปสวย ตกแต่งร้านดี ตั้งราคาเก่ง
แต่มันเกิดขึ้นจากหลายๆอย่าง หลายองค์ประกอบ

คงไม่ต่างจากการทำเมนูอาหารที่อร่อยมากๆ
คงต้องพิถีพิถันตั้งแต่เครื่องปรุงนั่นแหละ

ขอให้คุณได้ผลลัพธ์ ที่คุณ (แอบฝึกวิชา) อย่างเหมาะสมครับ

Jade DDC3 Day 4
20.12.2020

Categories
Shopee Seller Note

Day 1.5 : วิธีขับเครื่องบินเจ็ทใน 10 นาที

เมื่อวานเป็นอีกวันที่ผมควรจะได้แนะนำพี่ๆน้องๆ ใน Shopee for Business Owner สำหรับ Module 2 สำหรับ Perfect Checklist ที่ร้านค้าควรทำ เพื่อให้เป็นร้านที่มี รากฐาน มั่นคง และได้ระดับมาตรฐานที่ผู้ซื้อพึงพอใจ

แน่นอนว่าผมเคยพูดไปใน Module 0 : ชิ้นส่วนที่หายไปในการทำธุรกิจ
ว่าสุดท้ายแล้ว

การที่คิดว่าเปิดร้านแล้วจะขายได้ ถ่ายรูปสวยๆจะขายดี
เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นในการขายของออนไลน์

Jade : เลือดสาดมาร์เก็ตติ้ง

มันมีอีกหลายจุดที่คนขายส่วนใหญ่พลาดมาก
และกำลังเสียโอกาสนั้นไปโดยไม่รู้ตัว

ที่เราเปิดร้านน่ะ มันอยู่แค่ขั้นตอนนี้เท่านั้น

ปรากฏว่าเมื่อวานผมไม่ได้สอน และไม่มีการเรียนเกิดขึ้นเลย
หลังจากที่ผมรอตรวจการบ้านและดูถึงประมาณช่วงตี 3 ที่ผ่านมา

สาเหตุเกิดจาก :
ช่วงเช้าผมวาง Bomb กลุ่ม ลงในกลุ่ม Line Inner Circle DDC3

ผมได้สั่งการบ้านหลัง Module 1 นิดหน่อย
และ ผลที่ได้จากการที่คนเข้าเรียนใส่ใจมันน้อยกว่า รุ่นก่อนหน้า
ทั้งๆที่ คุณจ่ายค่าเรียนแพงกว่า
มันทำให้ผมหงุดหงิดจัด

จริงๆ พวกเขาไม่ได้ผิด แต่บ่อยครั้งในชีวิตจริงที่เรามักเจอว่า
ทำไมมีบางคนชอบให้ Over expectation และหลายๆคนชอบทำแบบ Under expectation

จริงๆการบ้านนี้ เป็นการบ้านเหมือนรุ่นก่อนหน้าเลย เพียงแต่
คนก่อนหน้าทำได้ดีกว่า และเป็นภาพจำ ทำให้ผมเห็นความตั้งใจได้
แต่รุ่นนี้ทำได้ต่ำกว่ามาตรฐานที่ตั้งไว้
และผมรู้สึกว่ามันจะปล่อยผ่านเรื่องแบบนี้ไปไม่ได้เด็ดขาด

เพราะคนที่อยากได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ไม่เคย ไม่ตั้งใจ

เราไม่สามารถแค่มองคนอื่นขายดี
มองวิธีที่เค้าสอน หรือลอกเลียนแบบร้านขายดีได้
แล้วขายดีทันที!!

ถ้าผมบอกว่า ผมอยากให้คุณขับเครื่องบินเจ็ทให้เป็นภายในสิบนาที
คุณจะทำยังไง?

คุณคงไปค้นหา Youtube กันใช่ไหม?
หรือไปดู Google ว่ามีสอนรึเปล่า?

ผลที่ได้คือ คุณอาจเห็นคนถ่ายวิดีโอ ขับเครื่องบินเจ็ท
หรือเจอ Manual ภาษาอังกฤษ PDF ในเว็บต่างๆ
แต่ถามว่าคุณจะขับได้ทันทีรึเปล่า?
จากการมองผ่านๆ และฟังครั้งเดียว

รู้ว่าวิวมันดี สวย ถ้าได้ขับ แต่ พอจะให้ขับจริงๆ คิดว่าจะขับได้ทันทีเลยไหม?

เพราะมันก็เหมือนกับ การสอบใบขับขี่รถยนต์
ที่เราจะเรียน หรือดูใน Youtube เทคนิคกี่รอบก็ได้
แต่สอบในสนามจริง คนส่วนใหญ่ก็มักจะสอบตก
เช่นขับเทียบฟุตบาทเกิน 1 ฟุต
หรือถอยหลังเข้าซองแล้วเสือกชนกรวยที่ตั้งไว้
หรือแม้กระทั่ง เหยียบเบรคเกินเส้นขาว ถูกไหม!!

เพราะ การเรียนโดยการมองดู หูฟัง
กับการเรียนโดย Take Action และลงมือทำมันต่างกันโดยสิ้นเชิง
!!

โชคดีที่เราสื่อสารกันรู้เรื่อง!!

ผมลองนั่งหาสาเหตุดูว่า ทำไมผมต้องโกรธ ในสิ่งเหล่านี้ด้วย
ทั้งๆที่จริงๆ ผมไม่ต้องสนใจก็ได้ และสอนต่อไปให้จบๆ
หรือ Copy Slide เดิมที่เคยสอนรุ่นก่อนหน้ามาสอนผ่านๆไปก็จบ
(และมันง่ายสำหรับผมด้วย)

ใครจะอยากเสียเวลา เวลาใครก็มีค่า ถูกไหม?

แต่ผมก็พบว่า
ผมเองไม่เคย Copy Slide เก่ามาสอนใหม่เลยแม้แต่ครั้งเดียว
(ถ้ามีก็ตัวอย่างแค่ 10-20% เท่านั้น)

และส่วนใหญ่ตัวอย่างในนั้น ดันเป็นการบ้านที่นักเรียนทำมา
และผมช่วยปรับแก้ต่างหาก!!

ผมเลยเข้าใจเลยว่า
มิน่าล่ะ ทำไมผมถึงไม่สามารถเริ่มคลาสเรียนได้
เพราะ เวลาผมสอน ผมยึดจากผลลัพธ์ของคนเรียนเป็นหลัก
ไม่ใช่ผลประโยชน์ส่วนตัวที่ต้องสอนให้จบๆไปนี่หว่า!!

Key หลักที่ผมได้ และเข้าใจเลยคือ
คนส่วนใหญ่มองผลประโยชน์ตัวเอง
ก่อนมองผลประโยชน์ของลูกค้า

ผมเลยไม่แปลกใจเลยว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น

เอาจริงๆ … มันคงไม่ใช่เรื่องของการสอนหรอก

คุณอาจจะเอาสิ่งนี้ไปใช้กับธุรกิจที่คุณทำอยู่ก็ได้

เพราะสุดท้าย ไม่ว่าจะยังไง


ธุรกิจที่เกิดขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นการ ขายสินค้า / บริการ
มันเกิดมาเพื่อ แก้ไข เติมเต็ม ให้ลูกค้า
เกิดผลลัพธ์ ที่ดีขึ้นกับชีวิตเขา
มันไม่ได้เกิดมาเพื่อทำเงินให้คุณโดยที่คุณทำอะไรเท่าเดิม!!

คนส่วนใหญ่อ่านแล้วก็ข้ามๆ สิ่งเหล่านี้ไป
เพราะคนไม่สามารถรับรู้แบบลงลึกรายละเอียด

ในแบบพยายามขับเครื่องบินเจ็ทในสิบนาทีให้เป็นไงล่ะ!!

อยากเป็นคนส่วนใหญ่ทำแบบเดิม
อยากเป็นคนส่วนน้อย ทำแบบที่คนส่วนใหญ่ไม่ทำ

ขอให้คุณได้ผลลัพธ์ ที่คุณ (แอบฝึกวิชา) อย่างเหมาะสมครับ

Jade DDC3 Day 1.5
5.12.2020

Categories
Shopee Seller Note

Day 1 : โปรลับขาย Shopee

เมื่อวานเป็นวันแรกที่เราเริ่มคลาส Shopee for Business Owner (DDC3)
เป็น Module ที่ 1 ของคลาสนี้

ผมตั้งชื่อมันว่า ” The Red Carpet ”
เพราะ ทุกร้านค้าไม่เคยมีแต้มต่อที่เท่ากัน

ตัวอย่างภาพประกอบในคลาส Shopee for Business Owner : Module 1 The red carpet


บ่อยครั้ง เราจึงเห็นที่มา บางร้านเปิดแป๊บเดียวขายดีทันที
บางร้านใช้ความพยายามเต็มที่ ขายดีขึ้น แต่ช้ามาก

หลายๆคนรู้ตัวอีกที คู่แข่งที่ไม่เคยเปิด และเราไม่เคยใส่ใจ
อยู่ดีมาเปิดแล้วยอดขายเทียบเท่า หรือแซงเราไปแล้วจนเราเองก็งง

เพราะ ขาย Shopee มีโปรลับ สำหรับร้านค้าใหม่ในหลายรูปแบบ
(และมี โปรลับ สำหรับร้านค้าเก่าๆเช่นกัน)

ตัวอย่างภาพประกอบในคลาส Shopee for Business Owner : Module 1 The red carpet

ถ้าใช้ภาษาพี่คนหนึ่งในคลาสนี้
(พี่คนนี้ เป็นร้านดังที่สินค้าพี่เค้าติดอันดับ 1 ในหมวดหมู่ของ Shopee)
(และขึ้นทุก Homepage Banner ของ Shopee แล้ว)

พี่เค้าบอกว่า “ร้านพวกนี้เหมือนได้ขึ้นลิฟท์แก้ว”
ขึ้นมาชั้นบนสุด เห็นยอดวิวสวยๆทันที

โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาปีนบันไดเหมือนคนทั่วๆไป
ที่ต้องใช้เวลา และ แรงงานสูง

พี่เค้าเองก็เจอประสบการณ์นี้กับตัว
คือร้านคู่แข่งอยู่ดีๆก็ได้โปรลับ
และทำยอดได้เทียบเคียงร้านพี่เค้าที่เปิดมาก่อนทันที!!

แต่ก็อย่างที่ผมบอกน่ะแหละ ว่า พี่ไม่ได้เจอคนเดียวซักหน่อย วงการผมก็มี 555

ซึ่งแน่นอนว่า “ที่มา” ของการได้สิทธิพิเศษเหล่านั้น
ล้วนแตกต่างกัน
และ Shopee เอง ก็มีระดับ “โปรลับ”
สำหรับผู้ขายที่เขาต้องการในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป

ที่สำคัญคือ เราอยู่ในกระบวนการไหน
และปลายทางกระบวนการนั้น มันมีโปรลับรอเราอยู่รึเปล่า!?

ผมทิ้งท้ายโดยการเชื่อมโยงไปถึงเรื่อง Product Life Cycle และ
ต่อยอดให้เห็นภาพรวมว่า แผนภาพง่ายๆเหล่านี้
มันส่งผลต่อยอดกับธุรกิจเราได้อย่างไร

หลังจากคลาสเรียนจบ เรายังมาคุยกันต่อใน Line Inner Circle
ทำให้เราได้เรียนรู้จาก ประสบการณ์ของแต่ละคนว่า
โปรลับที่ผมนำมาบอกเป็นเรื่องจริง และ หลายๆคนเคยได้โปรลับนี้แต่ไม่ได้ใส่ใจ จนทำให้ช่วงหมดโปร ต้องเสียใจอย่างน่าเสียดาย

(เพราะโปรลับนี้ ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้นและจะไม่กลับมาใหม่อีก)

ผมดีใจที่ความตั้งใจของผมถูกส่งผ่านมายังผู้คน
เพราะเรื่องราวความสนุกมันไม่ได้จบแค่เฉพาะใน Live VDO
แต่ความสนุกดันต่อยอดและส่งต่อมาถึงในกลุ่ม ที่ เจ้าของกิจการ
หรือพี่น้องหลายๆคนที่ยอดทะลุล้านไปแล้ว ในช่องทางอื่นเช่น Lazada
มาแชร์กัน

(และผมเพิ่งรู้ทีหลังว่า พี่คนนึงที่เข้ามาเรียน)
(ผมและพี่เค้าเคยขายสินค้าตัดราคา เปรียบเทียบกันมาก่อนเมื่อ 8 ปี ที่แล้ว)

วันนี้เรากลับมาในสภาพใหม่ ที่เป็นพี่น้องกันได้
เราแชร์กันได้ และเข้าใจในภาพรวมในรูปแบบของคนมีความคิดเป็นผู้ใหญ่คุยกันเพื่อต่อยอดให้อีกฝ่ายได้ไปต่อ
ไม่ใช่มองหน้า หรือต้องแอบส่องเพื่อตัดราคากันตลอด
ชีวิตมันสั้นเกินกว่าที่จะต้องแก่งแย่งชิงดีกันจนตาย

พี่ๆ น้องๆ หลายคน เริ่มแชร์ เทคนิคต่างๆ ที่ตัวเองได้รับประสบการณ์ทั้งดี และ ไม่ดีจากบน Platform ต่างๆ

ซึ่งรูปแบบเครื่องมือ และการเติบโตของแต่ละ สาขาบนออนไลน์
ที่ใช้แล้วได้ผล หรือไม่ได้ผล

ย่อมแตกต่างกันไป ตามลักษณะของ Ecommerce Platform นั้นๆ และ แนวทางของบริษัทฯ ที่แตกต่างกันออกไป

ผมเคยพูดติดตลกว่า
ค่าคลาสมันคือของแถม แต่ ของจริงคือ Connection

และมันคือสิ่งนั้นและเห็นผลชัดเจนจริงๆ ตั้งแต่ Module 1
(ซึ่งผมเองก็ประหลาดใจเหมือนกัน)
(ราวกับคนพวกนี้เคยรู้จักกันมาก่อน แต่เปล่าเลย!!)

ความรู้สึกส่วนตัว
ผมรู้สึกว่าเป็นคลาสที่สนุก
ผู้เรียนเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง
และความเข้มข้นของมัน ไม่ได้อยู่ที่วิดีโอ
แต่อยู่ที่สังคมภายในที่ช่วยเหลือพี่น้องซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี

ผมเรียนรู้บทเรียนสำคัญมากในชีวิตคือ กลุ่มเพื่อนที่ดี
จะพาเราไปสู่ผลลัพธ์ที่ดี

และเรามักเป็น
ค่าเฉลี่ยของเพื่อนที่เราคบหา

การลองด้วยตัวเองทุกอย่างเป็นเรื่องดี
แต่น่าเสียดาย
ชีวิตเราไม่สามารถลองทุกอย่างที่ใช้เวลาได้มากขนาดนั้น
เพราะเรายังมีชีวิตที่ต้องไปต่อ และครอบครัวที่ต้องดูแล

หลายๆครั้ง การมีความพยายามไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดี
แต่ความพยายามในจุดที่ควรหรือไม่ควรทำในตอนนั้น
อาจไม่ใช่คำตอบ และเราอาจท้อไปก่อนที่จะถึงเป้าหมายนั้น

สู้ๆครับ

Jade DDC3 Day 1
3.12.2020

Categories
Shopee Seller Note

สวัสดี

ยินดีต้อนรับคุณเข้าสู่ Jade : เลือดสาดมาร์เก็ตติ้ง เว็บไซท์
ที่ๆคุณสามารถ กดดูบทความ วิดีโอใหม่ล่าสุด ในเว็บไซท์เดียว
เนื่องจากการทำเว็บไซท์นี้ ไม่ใช่สิ่งที่เป็นอาชีพผม

และเว็บไซท์นี้เกิดจากการที่ผมใช้เวลาวันละ 10-20 นาที เท่านั้น

ลองมาดูกันว่ามันจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้างในแต่ละวัน!

ขอให้คุณได้รับผลลัพธ์ ที่คุณ (แอบฝึกวิชา) เพื่อรับมันอย่างเหมาะสมครับ

Jade