เพราะพอเป็นเรื่องคนอื่น
เรามักเสือกเก่งมากกว่าเรื่องตัวเอง
วันนี้ผมมีเรื่องเล่าจากคนใกล้ตัว
มาเล่าให้ฟังเป็นประสบการณ์ครับ
เผื่อใครเป็นพ่อค้าแม่ค้าที่ขายดีมากๆ
จะได้เพิ่มความระวังไว้เป็นอุทาหรณ์

[1]
มีนักเรียนที่เคยเรียนด้วยกันมานานมากแล้ว
ทักมาปรึกษาว่า
อ. ทำไงดีคะ มีรายได้เกิน 1.8 ล้าน โดยไม่รู้ตัว!!
และ พอไปปรึกษาบัญชีเค้าบอกว่า
จะต้องเสียค่าปรับเยอะมาก!
(เนื่องจากเป็นการเรียนออนไลน์)
(ที่ไม่ได้เป็นการเรียนแบบปรึกษาส่วนตัวแบบระบุเวลา Follow up)
(ผมจึงจะไม่ได้ติดตามผลงานอะไรหลังจากนั้น)
[2]
ผมตกใจเลยยกโทรศัพท์โทรหาเลย!
เค้าเปิดร้านไลฟ์ขายของใน Shopee
หมวดที่คนชอบขายกันเยอะๆ
จุดขายที่คนซื้อเพราะคนสามารถซื้อโดยใช้ Code
แล้วถูกกว่าราคาตลาดมากนั่นแหละ
เมื่อมันเป็นสินค้าซื้อง่าย ขายคล่อง
ขายใน Platform ที่คนเชื่อใจ
คนซื้อมักซื้อได้ในราคาต่ำกว่าทุน
เค้าเล่าให้ผมฟังว่า
บางวันนึงไลฟ์ไม่ถึงชั่วโมง
ก็ได้ออเดอร์หลักหลายร้อยบ้านเลย
ตรงนี้น่าอิจฉามาก…
สินค้าผมที่ขาย
ขนาด LIVE ช่วงแคมเปญขายดีสุด
LIVE เองหลายชั่วโมง
ยังไม่ถึงร้อยชิ้นเลย T_T
[3]
สินค้าที่ขายดีใน LIVE ส่วนใหญ่จะเป็นประเภท FMCG
หรือ ที่ย่อมากจาก Fast-moving consumer goods
คือ สินค้าที่จำหน่ายเร็ว ราคาไม่สูง ซื้อซ้ำได้บ่อย
จึงเป็นที่ถูกใจและนิยมในกลุ่มผู้ซื้อส่วนใหญ่เป็นอย่างมาก
แต่ต้องแลกมาด้วยการใช้เงินต่อเงิน
และสภาพคล่องในการเงินสูง
เพราะเวลาขายได้ ก็ไม่ได้เงินทันที
คือ ต้องมีช่วงรอเงินจากการขายเข้า
ช่วงรอส่งสินค้า
ช่วงรอลูกค้าได้ของ
ช่วงรอลูกค้ากดยืนยันรับสินค้า
แปลว่าถ้าลูกค้าไม่กดยืนยันรับของ
คนขายเงินก็จะถูกดองในระบบและเงินจะไม่กลับมาให้ใช้หลายวัน
(เกินสัปดาห์ก็มีให้เห็นบ่อยๆ)
และเนื่องจากสินค้าพวกนี้มีความต้องการสูง
การแข่งขันจึงสูงมาก
แปลว่านอกจากเรื่องราคา
เรื่องสต๊อกพร้อมส่งก็สำคัญไม่แพ้กัน
ใครมี Stock พร้อมส่ง
และส่งได้ไวก็เป็นอีกจุดนึงที่ต้องเฉือดเฉือนกัน
[4]
เนื่องจากความท้าทายที่เล่ามา
ของผู้ขายในสาย FMCG
นอกจากต้องตั้งราคาให้ไม่สูงกว่าคนอื่นมาก
(เพราะถ้าตั้งสูงก็กลัวขายไม่ได้)
ยังต้องมีพร้อมส่ง และส่งได้ไวด้วย
อีกทั้งยังต้องกังวลเรื่องเงินหมุน
ที่เข้ามาเท่าไหร่ ก็ออกไปเกือบหมด
ทำให้คนขายประเภทนี้
แทบไม่เคยดูรายได้กัน
และกว่าจะสังเกตอีกทีก็มักพบว่า
มีรายรับเยอะมากแล้ว
[5]
เคสนี้แย่หน่อยตรงที่ รู้ตัวช้า
เพราะ กว่าจะได้กดดูรายรับของฉัน
ยอดเข้าเกือบ 10 ล้านไปแล้ว
ซึ่งเกิน 1.8 ล้าน ไปหลายเดือนแล้วด้วย
เพิ่งรู้ว่าขายได้ยอดขายเยอะขนาดนี้
เพิ่งรู้ว่าเกิน 1.8 ล้านต้องเข้าระบบ VAT
เพิ่งรู้ว่าถ้าเข้าต้องเข้าภายในเดือนที่เกิน
เพิ่งรู้ว่าถ้าเข้าช้ากว่าเดือนนั้นๆ นอกจากจะต้องโดนปรับค่าภาษีขาย
ยังต้องโดนปรับค่าอื่นๆ อีกด้วย
[6] อ. มีวิธีไหนช่วย หรือมีบัญชีไหนช่วยได้ไหม?
คำตอบคือไม่มี
มันเป็นหน้าที่ที่เราต้องพึงระวังอยู่แล้ว
ไม่ใช่สักแต่ขาย ไม่ดูตัวเลข
แต่ส่วนตัวผมเข้าใจมากนะครับ
คนไม่เคยจด หจก. บจก. มาก่อน คิดว่ารายได้ไม่น่าถึง
เพราะเงินหมุนในบัญชีธนาคาร เข้ามาก็ออกไปเกือบหมด
วันๆ LIVE – แพ้ค – ขาย
วนลูปไปทุกวัน
ใครจะคิดว่าจะถึงหลายล้านบาทได้
[7]
ผมลองถามดูว่า
เก็บค่าใช้จ่ายทั้งหมดเป็นหลักฐานไว้ครบไหม
เช่น ใบเสร็จค่าสินค้า / ค่าขนส่ง / ค่าธรรมเนียม / ค่าใช้จ่ายต่างๆ
ได้รับคำตอบแบบหลายคน
ที่ไม่ได้เตรียมความพร้อมมาก่อนเลยว่า
ไม่มี หรือ ต่อให้มี ก็มีเก็บไว้ไม่ครบ
[8]
ที่งานเข้าคือตรงนี้
สมมุติรายได้ 10 ล้าน
ถ้าไม่มีค่าใช้จ่ายตามจริงตามที่ผมถามเมื่อกี้มาชี้แจงสรรพากร
ไม่ว่าจะเป็นใบเสร็จค่าสินค้า ค่าส่ง ค่าธรรมเนียม ไว้ครบๆ
เวลายื่นรายได้เสียภาษี
แบบที่จะทำให้เราเสียภาษีน้อยที่สุด
คือ หักค่าใช้จ่ายตามจริงที่เกิดขึ้น
คือเอาค่าใช้จ่ายที่มีหลักฐานทั้งหมดมาหักได้เลย
แต่ถ้าไม่มี หรือมีไม่ครบ
ส่วนใหญ่จะใช้เกณฑ์เหมาจ่าย
ตามเงื่อนไข เค้าให้หักรายได้แบบเหมาจ่าย
เป็นต้นทุนได้ 60%
ถ้าสรุปง่ายๆว่ายอดขาย 10 ล้าน
เค้าจะถือว่าเป็นต้นทุนทั้งหมด 6 ล้าน
คุณเหลือกำไร 4 ล้าน
และจะเอา 4 ล้านมาคิดภาษี ตามขั้นบันได
(ไม่รวมค่าปรับเงินเกิน ค่าภาษีขายที่ต้องถูกเก็บย้อนจากคนขาย)
ตรงนี้ด้วยความสงสัยมานาน
ผมเลยถามเบาๆ ว่า
“มันเป็นไปได้เหรอที่สินค้าพวกนี้”
“จะมีต้นทุน 60% หลังรวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ?”
“โห อาจารย์ แค่ค่าสินค้าก็เกือบ 80% ของรายได้แล้ว”
“ยังไม่รวมค่าธรรมเนียมอื่นๆอีกนะ”
ฉิบหายแล้วไง…
[9]
คำถาม ที่ผมอยากชวนทุกคนมาคิดก่อนอ่านต่อ
(เพราะเราเสือกเรื่องชาวบ้านมา 8 ข้อแล้ว ถ้าคุณไม่รู้ตัว)
คือ
แล้วเรากำไรซักกี่ % ของสินค้าพวกนี้
แล้วเรามีค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่มีที่มาที่ไปชี้แจงรายได้แบบหักตามจริงไหม?
ถ้าไม่มี เราคิดว่าทุกวันนี้เราตั้งราคาขาย พอเสียภาษีรึเปล่า?
[10]
เชื่อว่ามือใหม่หลายคน อาจคิดว่าขายยังไงให้ได้ก่อน
แต่พอขายแล้วก็เพลิน ไม่ได้ดูรายรับ
และ ช่วงเริ่มต้นก็ไม่คิดว่าจะขายดี
เลยไม่ได้เก็บหลักฐานค่าใช้จ่ายไว้
แต่ Shopee / Lazada / TikTok
ส่งรายได้ที่เราจ่ายให้ Platform ทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็นค่าธรรมเนียมการขาย
ค่าธรรมเนียมการชำระเงิน
ค่าธรรมเนียมอื่นๆ
ทำให้ต่อให้อยากหลบเลี่ยงรายได้ก็หลบไม่ได้
(และปีนี้เริ่มตรวจเข้มพิเศษด้วย)
[11]
เคสนี้จบที่ผมบอกว่า
ถ้าเป็นผมจะเลิกไลฟ์ เลิกขายเลย
(ทั้งๆที่วันที่คุยกันเป็นวัน 9.9 ขายดี)
เพราะดูจากค่าปรับที่ต้องเสีย
ผมว่าดีไม่ดี ที่ผ่านมาทั้งหมด
กำไรยังไม่พอค่าปรับเลย…
ฉะนั้นวันนี้ต่อให้ LIVE ต่อ
คุณก็เสียเวลาฟรี
เหนื่อยแรงแพ้คฟรี
ไปคุยกับสรรพากรให้เสร็จก่อน
แล้วขอคำปรึกษาตรงๆดีกว่า เพราะ … ยังไงก็ไม่รอด
บัญชีที่ไหนก็ช่วยไม่ได้ หลักฐานมันชัด
ส่วนตัว ผมว่า…
อย่าหาทางเล่นท่าพลิกแพลง
เพราะทุกท่าที่เราพยายามจะบิด ปิดบัง
สรรพากรเค้ารับมือคนอย่างพวกคุณมาทุกวัน
เค้าจะไม่รู้เหรอ ว่าใครกำลังโกหก
หรือใครพูดเรื่องจริง
และ เค้ายังพอช่วยอะไรได้บ้าง
กับคนที่มีเจตนาแบบไหนแต่แรก
[12]
สรุปว่าขายของอย่าขายเพลิน
ต้องคำนวณต้นทุน กำไรด้วย
ไม่งั้นจะกลายเป็น มดงานที่ทำให้แพลทฟอร์มได้กำไร
แต่คุณทำงานหนัก และโดนปรับจนขาดทุน
จนอาจต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า
แล้วที่ผ่านมา จะเหนื่อยไปมาทำไม
อ่านแล้วได้อะไร Comment Share ประสบการณ์ไว้ได้นะครับ 🙂
หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับมือใหม่ครับ
สำหรับโพสนี้ สามารถตามไปอ่าน Comment เพื่อนๆทั้งหมดได้ที่นี่เลยครับ
https://www.facebook.com/share/p/TfNU8ktzz1bXaZwX/
อย่าลืมกดติดตาม Jade : เลือดสาดมาร์เก็ตติ้ง เพื่อไม่พลาดโพสถัดไปฮะ
เพจจริงต้องมีเครื่องหมายติ๊กถูกสีฟ้า
มีคำถามอะไรเพิ่ม ถ้าตอบได้จะตอบให้
Comment ไว้ได้เลยจ้ะ
