Categories
Shopee Seller Note

ที่มาของผลลัพธ์มาจากความเชื่อใจ

ถ้าผลลัพธ์ (Result) ต่างๆในชีวิต
เปรียบได้กับการกระทำต่างๆที่เราได้ทำไว้ตั้งแต่อดีต
งั้นก่อนที่จะได้ผลลัพธ์ดีๆเราจะต้องมีอะไร?

(โคตรยาวนะฮะ เตือนก่อน 555)

ใครๆก็คงพูดได้ว่า
ผลลัพธ์ก็เกิดจากการกระทำไง

คำถามคือ
แล้วก่อนที่เราจะลงมือทำมันมันต้องมีสิ่งอื่นอีกรึเปล่า?


เปิดเรื่องมาได้น่าสนใจใช่ไหมครับ
ไหนลองอ่านต่อซิ


4 Cores of Credibility through the metaphor of a tree.

ภาพเปรียบเทียบรูปต้นไม้นี้
ผมเอามาจากหนังสือชื่อ The Speed of Trustโดย Stephen M.R.COVEY

เค้าบอกว่าคนส่วนใหญ่มักมองที่ผลลัพธ์เป็นหลัก
โดยไม่ได้ดูว่า แก่น หรือ รากของผลลัพธ์นั้นมาจากอะไร

เราจึงมักเจอคำถามพื้นฐานบ่อยครั้ง เช่น

(พี่ขายอะไรครับ?)
(ทำยังไงถึงจะขายดีครับ?)
(หาสินค้าอะไรมาขายดีครับ?)

#ถ้าอ่านแล้วคิดนิดนึง
#คำถามเหล่านี้อาจน้อยลง
#และช่วยคุณตัดสินใจอะไรบางอย่างได้

ผมจึงหวังว่าเรื่องที่ผมเขียนจะช่วยให้คำถามเหล่านี้ลดน้อยลงบ้าง
หากคุณอ่านจบและนำไปคิดต่อ


ถ้าส่วนของผลไม้ (Result)
คือส่วนสุดท้ายที่เราจะเก็บกิน
แปลว่าต้นไม้เราต้องแข็งแรงและมีการบำรุงอย่างเหมาะสม

Concept หนังสือบอกว่า
ไม่ว่าจะทำธุรกิจแบบไหน หรือ ทำอาชีพอะไร
การสร้าง “ความเชื่อใจ”
เป็นการสร้างที่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง
และส่งผลกระทบในเชิงกว้างได้อีกมหาศาล

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเรามีความน่าเชื่อถือในแง่ :
– เป็นสามีที่ภรรยาเชื่อใจ
– เป็นพ่อที่ลูกไว้วางใจ
– เป็นคนน่าเชื่อถือในที่ทำงาน
– เป็นเจ้านายที่น่าเชื่อถือกับลูกน้อง
– เป็นบริษัทที่น่าเชื่อถือ น่าไว้วางใจกับบริษัทคู่ค้า
– เป็นประเทศที่น่าเชื่อถือด้านการผลิตส่งออกการค้าระดับโลก

หากไร้ซึ่งความน่าเชื่อถือหรือไม่มีความเชื่อใจเลย
การค้า ธุรกิจ ความสัมพันธ์ก็จะไม่เกิด

(ทำไมไม่มีคนสั่งของร้านหนูเลยคะ?)
(ทำไมไม่มีคนกดติดตามร้านค้าเลยคะ?)

ต้นทุนก็อาจจะแพงขึ้น กระบวนการทำงานก็ต้องใช้เวลามากขึ้น
ถ้ามองใกล้ตัวหน่อย ลองส่องกระจกดู มองหน้าตัวเอง

เราคงไม่แต่งงาน ใช้ชีวิต กับ ผู้ชาย / ผู้หญิงที่เราไม่เชื่อใจ
เราคงไม่ทำการค้าทำธุรกิจกับคนขายที่เป็นใครไม่รู้
เราคงไม่สั่งซื้อสินค้าหรือกล้าจ่ายแพงกับแบรนด์ หรือ ผู้ขายที่เราไม่รู้จัก
เราคงไม่กล้าตัดสินใจจากสินค้าหรือบริการอะไรที่ไม่เคยมีใครซักคนรีวิว

ทำไมล่ะ?

เพราะเรา “ไม่เชื่อว่าดี” หรือ “ไม่ไว้วางใจ” ไง!!


แปลว่าก่อนคนจะตัดสินใจอะไรในหลายๆครั้ง
เรื่องราคาก็เรื่องนึง
แต่เรื่องความไว้วางใจ ความเชื่อใจ
เป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องนึงและที่น่าเสียดาย


ทั้งๆที่เรารู้ว่าเป็นเรื่องดี
เป็นข้อได้เปรียบทางการค้าที่ดีมาก
แต่เราไม่ทำ

เพราะการสร้างความเชื่อใจไม่ง่าย
เหมือนกับการตัดราคาคู่แข่ง

(แล้วเราก็หนีไปตัดราคาเหมือนชาวบ้านเหมือนเดิม)
(แล้วก็บ่นว่าขายไม่ออก ตลาดอยู่ยาก)

(ขายใน Shopee ไม่ตัดราคาอยู่ไม่ได้เลยครับ)
(Lazada ตัดราคากันหนักมากเลยครับ)

ความเชื่อใจมันต้องใช้เวลาในการสร้าง
และความพยายามเป็นอย่างมาก

มันไม่ง่ายเหมือนเข้าหน้าหลังบ้าน
กดเปลี่ยนตัวเลขตัดราคาให้ถูกลงแล้วกด OK
แบบสายแม่ค้าทั่วไปทำกัน

ความเชื่อใจใช้เวลานาน
แต่หากผลลัพธ์เกิดผลแล้ว

มันเป็นข้อได้เปรียบที่เลียนแบบได้ยาก
เพราะความเชื่อใจตีค่าเป็นตัวเลขไม่ได้…

คุณเคยได้ยินคนคอมเมนต์แบบนี้ไหม
(ตอนนี้ไม่ขายสินค้าตัดใครอีกเลยค่ะ)
(หาลูกค้าระดับบน จ่ายง่าย ซื้อของง่ายครับ)

เค้าไม่ได้โลกสวย แต่เค้ารู้ว่าสิ่งที่เค้าทำคืออะไรต่างหาก

และทีเด็ดคือ
Trust Transfer ได้

เช่น
คุณเชื่อใจนายเจตน์ในการสอน Shopee
วันหนึ่ง นายเจตน์หนีไปสอน Lazada
คุณก็อาจเชื่อว่าเค้าสอนดีอยู่ดี
“ถ้า” สิ่งที่เค้าสอนมาก่อนดีมาก หรือ
เกิดผลลัพธ์ที่ดีและมีคนรีวิวว่านายคนนี้สอนดี

(เห็นภาพไหม?)

เรารู้กันว่ามันดี แต่ทำไมเราไม่ทำบ้าง?
เพราะมันยากและนาน

เรารู้ว่าดี

แต่เราไม่พยายามศึกษาถึง “แก่น” ของมัน

เรามัวแต่ชิม และ อิจฉา “ผล” ของมันใช่ไหม?


Concept ที่ดูน่าสนใจนี้
กลายเป็นหนังสือเล่มนึงที่กลายเป็น New York Time Best Seller
และขายไปมากกว่า 2 ล้านเล่ม

เฉพาะหน้าที่ผมถ่ายมาแบ่งปันเค้าพูดว่า
การที่เราจะสร้างความน่าเชื่อถือ เชื่อใจ (Creditbility)
มาจาก 4 หลักใหญ่ หรือ เรียกว่า 4 Cores of Credibility

Core 1 – Integrity

คำว่า Integrity แปลเป็นไทย ดูไม่มีคำที่เหมาะสม
เพราะถ้าเปิด Dictionary หรือ Google
Intregrity แปลว่า Honesty (ความซื่อสัตย์)
แต่คำว่า Honesty ไม่ได้แปลว่าแค่พูดเรื่องจริงอย่างเดียว
แต่รวมถึง การทิ้งความรู้สึกที่ถูกต้องให้ผู้พบเห็นด้วย
(not only telling the truth, but leaving the right impression)

ในหนังสือได้พูดไว้อีกว่า
A Person has integrity when there is no gap between intent and behavior – when he or she is the same – inside and out
บางคนแปลว่าสุจริต แต่ผมขอใช้คำว่าเจตจำนงค์ก็แล้วกัน

เจตจำนงค์ที่ดี คือ เมล็ดพันธุ์ที่ขยายเป็นรากแก้วของผลลัพธ์
รากจะมาก่อนลำต้น
และลำต้นก็จะมาก่อนกิ่งก้าน และเกิดผลลัพธ์ในที่สุด

เปรียบเทียบ เจตจำนงค์ คือ รากของต้นไม้
เราจะพบกว่าน้อยคนมากที่จะมองหารากของคนอื่น

เพราะเรามักมองแต่ผลลัพธ์ของร้านค้าที่ขายดี
แต่เราไม่ได้มองว่าเค้าทำอะไรมา
จุดเริ่มต้นของธุรกิจคืออะไร

(เรื่องนี้ลองไปฟังพวกรายการธุรกิจเช่นเจาะใจ)
(ที่ชอบเชิญเจ้าของมาสัมภาษณ์)
(จะมีที่มาที่ ล้วนมีเจตจำนงค์ที่แรงกล้าเสมอ)

สมมุติเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดขึ้น
นายเจตน์ อยากเปิดเพจ
เพื่อให้ความรู้ทางธุรกิจแบบที่นายเจตน์รู้ และ ได้ลองเจ็บตัวมา
เพื่อย่นระยะเวลาคนติดตามให้ไวขึ้นและไม่ต้องลองผิดลองถูก
ชีวิตเขาจะดีขึ้น และประสบผลสำเร็จได้ไวกว่าสิ่งที่นายเจตน์ประสบพบเจอมา

(คุณลองเอาไปตั้งคำถามในธุรกิจคุณดูว่า)
(คุณมีเจตจำนงค์อะไร)
(ลิสออกมา)


Core 2 – Intent
คือ Reason for doing something
ความตั้งใจ ที่อยากให้ผลลัพธ์ออกมาดี

เมื่อเจตจำนงค์เราดี
จะเกิดเป็นความตั้งใจที่ดี

ความตั้งใจที่ดี
จะเกิดเป็นผลงานที่ดี

ไม่ว่าจะเป็น
การสร้างผลงานในรูปแบบต่างๆ
การสร้างคลิป / Content / Copywriting
การสร้างสินค้า / บริการที่ดี
การคิดถึงสิ่งที่ลูกค้าจะได้ก่อนสิ่งที่เราได้รับ

เปรียบรูปต้นไม้อีกครั้ง
Step นี้ คือ ขึ้นจากราก เป็นลำต้น
ซึ่งคนจะเห็นความตั้งใจที่ดีและสิ่งที่เราทำแล้ว

ซึ่งความตั้งใจที่ดีจะขยายผลได้ด้วย
ความปรารถนาดี(Genuine Caring)

ปรารถนาให้ชีวิตรอบข้างดีขึ้น
ปรารถนาให้ผู้ซื้อ ลูกค้าชีวิตดีขึ้น
ปรารถนาให้สังคมดีขึ้น

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ
นายเจตน์คิดว่าอยากขายสินค้าความรู้และประสบการณ์
ความตั้งใจนายเจตน์ คือความรู้และประสบการณ์
และค่าโง่ต่างๆที่เขาได้เจอมา

สามารถแบ่งปันเพื่อย่นระยะเวลาผู้คน
เมื่อคนเหล่านั้นไม่เสียเวลาชีวิตและเสียเวลาล้มลง
เพราะเมื่อคนล้มลง ก็ไม่ได้ล้มคนเดียวแต่ครอบครัวล้มด้วย

และเมื่อล้มแล้วก็ต้องเสียเวลาปลง และจุดไฟตัวเองให้ไปต่อ
หรือเดินต่ออีกครั้ง

ในเมื่อนายเจตน์สามารถแบ่งปันได้เพราะล้มไปนับครั้งไม่ถ้วน
นายเจตน์จึงสามารถฉุดให้เขาลุกขึ้นมาได้ไวขึ้น
เพื่อจะได้ไม่ต้องตกหลุมแบบเขา
และจะได้ไม่ต้องเสียเวลาคลำทางแบบนายเจตน์

นายเจตน์จึงเริ่มสินค้าและบริการขึ้นมา
(จากเจตจำนงค์เริ่มเป็นความตั้งใจและปรารถนาดี)

(คุณลองเอาไปตั้งคำถามในธุรกิจคุณดูว่า)
(คุณมีความตั้งใจอะไร ที่อยากทำให้ลูกค้าได้อะไร)
(ลิสออกมา)


Core 3 – Capabilities
ขอแปลทับศัพท์ว่า Power or Ability to do something

ในเมื่อเรามีเจตจำนงค์ที่ดี
มีความตั้งใจที่ดี

แต่หากขาดความสามารถที่จะแสดงมัน
ทุกอย่างก็ไม่สามารถก่อให้เกิดผลได้

แปลว่าต่อให้รากแข็งแรง ขึ้นเป็นลำต้นแล้ว
แต่ขาดปุ๋ย สารอาหาร การดูแลที่ดี

แม้ว่าจะเติบโต
แต่ไม่แตกกิ่งก้าน หรือเมื่อแตกก้าน ก็ไม่ออกดอก ออกผลให้เก็บ

Capabilities สามารถพัฒนาแยกย่อยเป็น Talents (พรสวรรค์) , Attitudes (Mindset) , Skill (ทักษะที่ฝึกฝนได้) , Knowledge (ความรู้ที่หาเพิ่มได้) , Style (ผมขอแปลว่าการสื่อสารที่เหมาะสมแล้วกัน)

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ

นายเจตน์ต้องการเปิดสอน Shopee
แต่นายเจตน์ทำเป็นแค่สมัคร Shopee
และมีออเดอร์เพียง 1 ชิ้นต่อวัน
นายเจตน์ไม่ได้เคยมียอดขายจริงๆจาก Shopee
และไม่มีประสบการณ์ใดๆจริงจังในการสอน
แต่นายเจตน์อยากได้เงิน

แปลว่า
นายเจตน์จะดู (เหี้ย) มาก หากอยากขายสินค้านี้ และ
แค่อยากรวยจากการขายในสิ่งที่ไม่ถนัดจริงๆ
(กลายเป็นคนรวยด้วยการสอนไม่ใช่การทำธุรกิจจริงๆ)

แปลว่าถ้าเทียบกับ ต้นไม้
เจตจำนงค์ไม่ดี — อยากได้เงิน — รากไม่แข็งแรง
ความตั้งใจ — อยากได้เงิน — ต้นไม่น่าจะโตแต่แรก
ความสามารถ — สร้างภาพว่ามี — ต้นไม่โต กิ่งก้านไม่งอก
ผลที่ได้– ขายไม่ได้ — ผลไม่ออก

อีกตัวอย่างหนึ่ง
แม่ค้า A อยากขายครีม
แม่ค้า A ไม่เคยใช้ครีมเลย
แต่แม่ค้าบอกว่าครีมดีมาก
ใช้แล้วดีสิวหาย หน้าหด หลุมสิวหาย
และแม่ค้าบอกว่า นี่คือครีมมหัศจรรย์ดีกว่าเค้าเตอร์แบรนด์

เจตจำนงค์ — อยากได้เงิน — อะไรก็ได้ที่ทำเงิน
ความตั้งใจ — ขายอะไรก็ได้ที่ได้เงิน — มีอย่างอื่นก็ขายแต่เจออันนี้ก่อน
ความสามารถ — กูก็ไม่รู้หรอกว่ามันดียังไง — ลอกคนอื่นมาขาย
ผลที่ได้ — คนเชื่อใจยาก ขายได้น้อยหรือขายไม่ออกเลย
(ถ้าหลอกขายได้ คนก็ไม่กลับมาซื้ออีก)

แปลว่าถ้าไม่มีความสามารถด้านนั้นจริงๆก็ยากมากที่จะเติบโตได้
และเมื่อเติบโตไม่ได้ ก็ไม่เกิดผลลัพธ์
และแตกกิ่งก้านธุรกิจต่อในอนาคตไม่ได้

(คุณลองเอาไปตั้งคำถามในสินค้าและบริการคุณดูว่า)
(เรามีความสามารถอะไรที่ส่งเสริมสินค้าและบริการนั้นหรือไม่)
(ลิสออกมา)


Core 4 – Results
Track Record ผลลัพธ์

ความสำเร็จ ตัวเงิน ความน่าเชื่อถือ รีวิว
เป็นสิ่งที่คนจะเห็นได้ชัดที่สุด

(แบบที่เห็นคนโชว์กันเรื่องยอด , เรื่องกล่อง , ออเดอร์ต่อวัน)
เป็นอย่างสุดท้ายที่เห็นได้ง่ายที่สุด

แต่คนไม่ย้อนมาดูที่แก่นหลัก
ถ้าทั้งสามอย่างก่อนหน้าไม่ดี (เจตจำนงค์, ความตั้งใจ , ความสามารถ) ผลลัพธ์ก็จะไม่เกิดเด็ดขาด

สิ่งๆนี้ ไม่ได้ทำให้เกิดเฉพาะเงินทองแต่มันคือความเชื่อใจของลูกค้าด้วย

คนทั่วไปมักโดนผู้ขาย/ให้บริการหลอกล่อด้วย ผลลัพธ์ ที่ดูแสนจะหอมหวาน
แต่ไม่ได้ดูถึงกิ่งก้าน ลำต้น และรากที่มาเสมอ

เมื่อคนหลงกลซื้อผลลัพธ์ แต่ไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวังนั้น
เค้าก็จะไม่กลับมา

ซ้ำร้ายก็จะชักชวนให้คนไม่มาใช้สินค้าและบริการเช่นกัน


ถ้าสรุป สั้นๆ

ความร่ำรวย ไม่ใช่ การใช้เครื่องมือเก่ง หรือมีช่องทางที่มาก
สิ่งเหล่านั้นคือ “วิธีการ”

ถ้าสังเกตดูดีๆทุกอย่างเริ่มที่วิธีคิด
(เจตจำนงค์เราคืออะไร?)
(ช่วยอะไรให้ใครดีขึ้น?)

หากวิธีคิดเรามาถูกทาง
เราก็จะได้รากที่แข็งแรง

การที่รากเราแข็งแรง
วิธีการ และกระบวนการที่จะตามมาทีหลัง
ก็จะช่วยเสริมให้สิ่งที่เราทำมาแข็งแรงขึ้นไปอีก

และเมื่อ วิธีคิด และ วิธีการถูกต้อง
มันก็จะแตกกิ่งก้านออกดอกออกผลได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นมากขึ้นไปเรื่อยๆ


ถ้าเราไม่ชอบปลูกต้นไม้ใหม่หลายๆรอบ
ตั้งใจปลูกต้นเดียวให้ดีไปเลย

มันอาจย้อนไปเป็นเรื่องการตั้งเป้าหมายก็ได้
การตั้งเป้าหมายที่เห็นหลายๆคนโพสปีใหม่
ว่าจะทำแบบนั้น แบบนี้ให้ได้

จากผลวิจัยเรื่องการตั้งเป้าหมาย
ครึ่งนึงของชาวอเมริกันตั้งเป้าหมายปีใหม่
แต่มีเพียงคน 8% เท่านั้นที่สามารถรักษามันไว้ได้

และรู้มั้ยว่า 8% นี้จะเกิดความภาคภูมิใจในตัวเองสูงมาก
และจะเกิดความเชื่อใจในตัวเองมากกว่าอีก 92% ที่เหลือ
(ไม่ว่าเป้าหมายนั้นมันจะเล็กน้อยซักแค่ไหนก็ตามที)
และจะเสริมสร้างความมั่นใจเป้าหมายครั้งต่อไปได้

ฉะนั้นคนที่เขียนตั้งเป้าไว้
แต่สุดท้ายทำไม่ได้ และล้มเลิกกลางคัน
ก็มักจะเสียความเชื่อมั่นในตัวเองไปด้วย

เพราะเมื่อตัวเราเองยังรักษาความเชื่อใจให้ตัวเองไม่ได้
ก็ยากมากที่จะรักษาและทำให้คนอื่นเชื่อใจเช่นกัน

Trust – The One Thing That Changes Everything

——

ขอให้คุณได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสมครับ
Jade : เลือดสาดมาร์เก็ตติ้ง04.01.2021

Leave a Reply

Your email address will not be published.